1พงศ์กษัตริย์ 8 – TNCV & HTB

Thai New Contemporary Bible

1พงศ์กษัตริย์ 8:1-66

อัญเชิญหีบพันธสัญญาเข้าสู่พระวิหาร

(2พศด.5:2—6:11)

1จากนั้นกษัตริย์โซโลมอนทรงเรียกบรรดาผู้อาวุโสของอิสราเอล หัวหน้าเผ่าต่างๆ และหัวหน้าครอบครัวทั้งหมดของชนอิสราเอลมาเข้าเฝ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาจากศิโยนเมืองดาวิด 2ผู้ชายอิสราเอลทุกคนก็พากันมาเข้าเฝ้าโซโลมอนในช่วงเทศกาลของเดือนเอธานิมซึ่งเป็นเดือนที่เจ็ด

3เมื่อผู้อาวุโสทั้งปวงของอิสราเอลมาถึงแล้ว ปุโรหิตก็ยกหีบพันธสัญญาขึ้น 4และหามหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไป ส่วนเต็นท์นัดพบกับเครื่องใช้บริสุทธิ์ทั้งปวงในนั้น ปุโรหิตและชนเลวีช่วยกันนำไปยังพระวิหาร 5กษัตริย์โซโลมอนและชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่มาชุมนุมกันหน้าหีบพันธสัญญาได้ถวายแกะและวัวเป็นเครื่องบูชาจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน

6จากนั้นปุโรหิตอัญเชิญหีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่สถานนมัสการชั้นในของพระวิหารคืออภิสุทธิสถาน และตั้งไว้ใต้ปีกของเครูบ 7เครูบทั้งสองกางปีกเหนือที่ตั้งหีบพันธสัญญาและปกเหนือหีบกับคานหาม 8คานหามนี้ยาวมากจนมองเห็นปลายได้จากด้านในของวิสุทธิสถานซึ่งอยู่หน้าสถานนมัสการชั้นใน แต่มองไม่เห็นจากด้านนอกของวิสุทธิสถาน และคานนั้นก็ยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ 9ในหีบนั้นไม่มีสิ่งใดนอกจากศิลาสองแผ่นซึ่งโมเสสได้ใส่ไว้เมื่ออยู่ที่ภูเขาโฮเรบ ที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับชนอิสราเอลหลังจากพวกเขาออกมาจากอียิปต์

10เมื่อปุโรหิตออกมาจากวิสุทธิสถาน ก็มีเมฆมาปกคลุมทั่วพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า 11บรรดาปุโรหิตไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เพราะเมฆนั้น เนื่องจากพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปกคลุมอยู่ทั่วทั้งพระวิหารของพระองค์

12แล้วโซโลมอนตรัสว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ว่าพระองค์จะประทับในเมฆทึบ 13ข้าพระองค์ได้สร้างพระวิหารอันสง่างามถวาย เพื่อพระองค์จะประทับอยู่นิรันดร์”

14กษัตริย์ทรงหันกลับมาตรัสอวยพรแก่ประชากรอิสราเอลทั้งปวงซึ่งชุมนุมอยู่ที่นั่น 15แล้วตรัสว่า

“สรรเสริญพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ทรงกระทำตามพระสัญญาที่ได้ตรัสไว้กับดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เพราะพระองค์ได้ตรัสว่า 16‘นับแต่วันที่เรานำอิสราเอลประชากรของเราออกมาจากอียิปต์ เราไม่ได้เลือกเมืองของเผ่าใดเผ่าหนึ่งของอิสราเอล เพื่อสร้างวิหารขึ้นสถาปนานามของเรา แต่เราได้เลือกดาวิดให้ปกครองอิสราเอลประชากรของเรา’

17“ดาวิดราชบิดาของข้าพเจ้าตั้งพระทัยจะสร้างพระวิหารถวายแด่พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 18แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับดาวิดราชบิดาว่า ‘ที่เจ้ามีใจจะสร้างวิหารเพื่อนามของเรานั้นก็ดีอยู่ 19ถึงกระนั้นเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้สร้างวิหาร แต่บุตรชายผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าจะเป็นผู้สร้างวิหารเพื่อนามของเรา’

20องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำตามพระสัญญา คือให้ข้าพเจ้าได้ครองราชบัลลังก์แห่งอิสราเอลสืบต่อจากดาวิดราชบิดาตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ และข้าพเจ้าได้สร้างพระวิหารนี้เพื่อพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล 21ข้าพเจ้าได้จัดเตรียมที่แห่งหนึ่งในพระวิหารสำหรับหีบพันธสัญญา ซึ่งภายในบรรจุพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงให้ไว้กับบรรพบุรุษของเรา เมื่อทรงนำพวกเขาออกมาจากอียิปต์”

โซโลมอนอธิษฐานถวายพระวิหาร

(2พศด.6:12-40)

22จากนั้นโซโลมอนประทับยืนอยู่หน้าแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้าชุมนุมประชากรอิสราเอลทั้งหมด และทรงชูพระหัตถ์ขึ้นฟ้าสวรรค์ 23และตรัสว่า

“ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ทั่วฟ้าสวรรค์เบื้องบนและแผ่นดินโลกเบื้องล่างไม่มีพระอื่นใดเสมอเหมือน พระองค์ผู้ทรงรักษาพันธสัญญาแห่งความรักต่อเหล่าผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งยังคงดำเนินในทางของพระองค์อย่างสุดใจ 24พระองค์ทรงรักษาคำมั่นสัญญาต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ผู้เป็นราชบิดาของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาด้วยพระโอษฐ์และทรงกระทำให้สำเร็จด้วยพระหัตถ์ดังเช่นทุกวันนี้

25“และบัดนี้ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ขอทรงรักษาคำมั่นสัญญาที่ทรงมีต่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้เป็นราชบิดาของข้าพระองค์ที่ว่า ‘หากวงศ์วานของเจ้าใส่ใจที่จะทำทุกอย่างและดำเนินอยู่ต่อหน้าเราเหมือนอย่างที่เจ้าได้ทำ เจ้าก็จะไม่ขาดคนที่จะขึ้นครองบัลลังก์แห่งอิสราเอลต่อหน้าเรา’ 26ข้าแต่พระเจ้าแห่งอิสราเอล บัดนี้ขอทรงโปรดให้เป็นไปตามคำมั่นสัญญาที่ทรงให้ไว้แก่ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้เป็นราชบิดาของข้าพระองค์ด้วยเถิด

27“แต่พระเจ้าจะประทับในโลกนี้จริงๆ หรือ? ในเมื่อฟ้าสวรรค์สูงสุดยังไม่อาจรับพระองค์ไว้ได้ พระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์สร้างขึ้นจะยิ่งเล็กน้อยกว่านั้นสักเท่าใด! 28ถึงกระนั้นข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและตอบคำวิงวอนขอพระเมตตา ซึ่งผู้รับใช้กำลังกราบทูลอยู่ต่อหน้าพระองค์ในวันนี้ 29ขอพระองค์ทอดพระเนตรพระวิหารแห่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน พระวิหารซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘นามของเราจะอยู่ที่นั่น’ เพื่อจะได้ทรงกรุณาสดับฟังเมื่อผู้รับใช้ของพระองค์อธิษฐานตรงต่อที่แห่งนี้ 30เมื่อผู้รับใช้และประชากรอิสราเอลของพระองค์อธิษฐานวิงวอนตรงต่อที่แห่งนี้ ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์ และเมื่อทรงสดับแล้ว ขอทรงโปรดยกโทษ

31“เมื่อผู้ใดทำผิดต่อเพื่อนบ้านและต้องสาบาน และเขามาสาบานหน้าแท่นบูชาในพระวิหารนี้ 32ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และวินิจฉัย ขอทรงตัดสินความระหว่างผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ ขอทรงลงโทษคนผิดและให้สิ่งที่เขาทำตกแก่ตัวเขาเอง ส่วนผู้บริสุทธิ์ขอทรงประกาศว่าเขาไม่ผิด เป็นอันพิสูจน์ว่าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์

33“เมื่ออิสราเอลประชากรของพระองค์ทำบาปต่อพระองค์และถูกศัตรูพิชิต หากเขาหันกลับมาหาพระองค์ ร้องทูลออกพระนามของพระองค์ อธิษฐานและทูลวิงวอนต่อพระองค์ในวิหารแห่งนี้ 34ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และอภัยบาปของเหล่าประชากรอิสราเอลของพระองค์ และนำเขากลับมายังดินแดนซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเขา

35“เมื่อท้องฟ้าถูกปิดและไม่มีฝนเพราะประชากรของพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ เมื่อเขาอธิษฐานตรงต่อที่แห่งนี้ ร้องทูลออกพระนามของพระองค์ และหันจากบาปของตนเพราะพระองค์ได้ทรงลงโทษเขาแล้ว 36ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์และอภัยบาปของประชากรอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงสอนหนทางดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง และประทานฝนแก่ดินแดนซึ่งทรงยกให้เป็นมรดกของเหล่าประชากร

37“หากเกิดการกันดารอาหาร หรือโรคระบาดในดินแดน หรือโรคพืช หรือโรคราน้ำค้าง หรือตั๊กแตนบุกมาทำลาย หรือเหล่าศัตรูมาล้อมเมือง ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือภัยพิบัติใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้น 38เมื่อมีคำอธิษฐานหรือคำทูลวิงวอนจากผู้ใดผู้หนึ่งในหมู่ประชากรอิสราเอลของพระองค์ ซึ่งแต่ละคนย่อมรู้ถึงความทุกข์ใจของตนดี และชูมือขึ้นตรงต่อพระวิหารแห่งนี้ 39ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ที่ประทับของพระองค์ ขอทรงอภัยโทษและทรงจัดการกับแต่ละคนตามการกระทำของเขา เนื่องจากพระองค์ทรงรู้จักจิตใจของเขา (เพราะพระองค์เท่านั้นทรงทราบจิตใจของมนุษย์ทั้งปวง) 40เพื่อเขาจะยำเกรงพระองค์ตลอดเวลาที่เขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษของเรา

41“ส่วนคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่อิสราเอลประชากรของพระองค์ แต่ได้มาจากแดนไกลเนื่องด้วยพระนามของพระองค์ 42เพราะผู้คนจะได้ยินถึงพระนามอันยิ่งใหญ่ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และพระกรที่เหยียดออกของพระองค์ เมื่อเขามาอธิษฐานตรงต่อพระวิหารนี้ 43ขอทรงสดับฟังจากฟ้าสวรรค์ที่ประทับของพระองค์และขอทรงตอบคำอธิษฐานที่คนต่างชาติผู้นั้นได้ทูลขอพระองค์ เพื่อมวลประชาชาติในโลกจะรู้จักพระนามของพระองค์ และยำเกรงพระองค์เช่นเดียวกับอิสราเอลประชากรของพระองค์เอง และรู้ว่าข้าพระองค์ได้สร้างพระนิเวศแห่งนี้เพื่อพระนามของพระองค์

44“เมื่อพระองค์ทรงใช้ประชากรของพระองค์ออกไปรบกับศัตรูไม่ว่าที่ใด และเขาอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามุ่งตรงมายังนครนี้ที่ทรงเลือกสรรไว้ และยังพระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระองค์ 45ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและคำทูลวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์และขอทรงช่วยเหลือเขา

46“เมื่อพวกเขาทำบาปต่อพระองค์ (เพราะมีใครบ้างที่ไม่ทำบาปเลย) แล้วพระองค์ทรงพระพิโรธเขาและยอมให้ศัตรูพิชิตเขา นำเขาไปเป็นเชลยในต่างแดน ไม่ว่าใกล้หรือไกล 47และถ้าเขากลับใจได้ในแดนเชลย สำนึกผิด ทูลวิงวอนต่อพระองค์ในดินแดนนั้นและทูลว่า ‘ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาป ข้าพระองค์ทั้งหลายผิดไปแล้ว และข้าพระองค์ทั้งหลายได้ประพฤติชั่ว’ 48และหากเขาหันกลับมาหาพระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจในแดนเชลย และอธิษฐานตรงมายังดินแดนแห่งนี้ซึ่งพระองค์ประทานแก่บรรพบุรุษ ตรงมายังนครซึ่งพระองค์ทรงเลือกสรรและยังพระวิหารแห่งนี้ซึ่งข้าพระองค์ได้สร้างขึ้นเพื่อพระนามของพระองค์ 49ก็ขอทรงสดับฟังคำอธิษฐานและคำวิงวอนของเขาจากฟ้าสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระองค์และขอทรงช่วยเหลือเขา 50แล้วขอทรงอภัยโทษแก่ประชากรผู้ได้ทำบาปต่อพระองค์และยกโทษการล่วงละเมิดของพวกเขา ขอทรงกระทำให้ผู้ที่มีชัยเหนือเขานั้นเมตตาเขา 51เพราะเขาเป็นประชากรของพระองค์และเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงนำเขาออกมาจากอียิปต์ออกจากเตาหลอมเหล็ก

52“ขอให้พระเนตรของพระองค์เปิดอยู่ และพระกรรณของพระองค์สดับฟังคำทูลวิงวอนของผู้รับใช้ของพระองค์ และอิสราเอลประชากรของพระองค์ ขอทรงสดับฟังทุกเมื่อที่เขาร้องทูลต่อพระองค์ 53เพราะพระองค์ทรงแยกเขาออกมาจากประชาชาติทั้งปวงในโลก เพื่อเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ตามที่ทรงประกาศไว้ผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงนำบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลายออกมาจากอียิปต์”

54เมื่อโซโลมอนทรงอธิษฐานทูลวิงวอนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าดังนี้แล้ว ก็ทรงลุกขึ้นจากหน้าแท่นบูชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่ทรงคุกเข่าและชูพระหัตถ์ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ 55พระองค์ประทับยืนและอวยพรประชากรอิสราเอลทั้งปวงด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

56“สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ประทานการหยุดพักแก่อิสราเอลประชากรของพระองค์ตามที่ทรงสัญญาไว้ คำมั่นสัญญาล้ำเลิศซึ่งประทานผ่านทางโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์นั้น ไม่มีสักคำเดียวที่ล้มเหลวไป 57ขอให้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราสถิตกับเราเหมือนที่สถิตกับเหล่าบรรพบุรุษของเรา ขออย่าได้ทรงทอดทิ้งหรือละจากเราเลย 58ขอทรงหันใจของเรามาหาพระองค์ให้ดำเนินในทางทั้งปวงของพระองค์ และปฏิบัติตามคำบัญชา กฎหมาย และกฎระเบียบที่ทรงให้ไว้แก่เหล่าบรรพบุรุษของเรา 59และขอให้คำอธิษฐานที่ข้าพเจ้าได้กล่าวต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้านี้อยู่ใกล้พระยาห์เวห์พระเจ้าของเราเสมอไปทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อพระองค์จะทรงช่วยเหลือผู้รับใช้ของพระองค์และอิสราเอลประชากรของพระองค์ตามความจำเป็นในแต่ละวันของเรา 60เพื่อชนชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้ทราบว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าและไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลย 61แต่จิตใจของท่านจะต้องยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา ที่จะดำเนินชีวิตตามกฎหมายและเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ดังเช่นขณะนี้”

การถวายพระวิหาร

(2พศด.7:1-10)

62จากนั้นกษัตริย์และอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่กับพระองค์ถวายเครื่องบูชาต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า 63โซโลมอนทรงถวายเครื่องสันติบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า คือวัวผู้ 22,000 ตัว แกะและแพะ 120,000 ตัว เป็นอันว่ากษัตริย์และปวงชนอิสราเอลได้ถวายพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า

64ในวันนั้นกษัตริย์ทรงประกอบพิธีชำระส่วนกลางของลานหน้าพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถวายเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของเครื่องสันติบูชาที่นั่น เพราะแท่นทองสัมฤทธิ์ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นเล็กเกินไปสำหรับเครื่องเผาบูชา ธัญบูชา และไขมันของเครื่องสันติบูชา

65โซโลมอนทรงร่วมพิธีฉลองกับประชากรอิสราเอลทั้งหมดที่นั่น ซึ่งเป็นการชุมนุมประชากรครั้งใหญ่ ผู้คนจากเลโบฮามัท8:65 หรือจากทางเข้าสู่ฮามัทจดลำน้ำแห่งอียิปต์พากันมาเฉลิมฉลองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราตลอดเจ็ดวัน แล้วฉลองต่ออีกเจ็ดวัน รวมเป็นสิบสี่วัน 66ในวันรุ่งขึ้น โซโลมอนทรงอำลาเหล่าประชากร พวกเขากล่าวถวายพระพร แล้วกลับบ้านด้วยจิตใจเบิกบานยินดีในสิ่งดีงามทั้งปวง ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์และอิสราเอลประชากรของพระองค์

Het Boek

1 Koningen 8:1-66

De ark in het Heilige der Heiligen

1Salomo riep alle leiders van Israël—de stamhoofden en familiehoofden—naar Jeruzalem om er getuige van te zijn hoe de ark van het verbond van de Here vanuit het heiligdom in Sion, de Stad van David, naar de tempel werd overgebracht. 2Deze feestelijke gebeurtenis had plaats in de tijd van het Loofhuttenfeest, in de zevende maand. 3-4 Toen alle leiders van het volk Israël aanwezig waren, droegen de priesters de ark van de Here naar de tempel, samen met alle heilige voorwerpen uit de tabernakel. 5Koning Salomo en alle andere mensen kwamen voor de ark bij elkaar en offerden een ontelbaar aantal schapen en runderen. 6Daarna droegen de priesters de ark het Heilige der Heiligen binnen en zetten hem neer onder de vleugels van de engelen. 7Die engelen waren zo gemaakt dat hun vleugels zich uitstrekten over de plaats waar de ark zou komen te staan, hun vleugels overschaduwden dus de ark en zijn draagstokken. 8Die stokken waren zo lang dat zij terzijde van de engelen uitstaken en vanuit de andere kamer te zien waren. Vanuit de buitenste voorhof kon men ze echter niet zien. Zij bleven daar liggen tot op de dag van vandaag. 9Er lag in die tijd niets in de ark dan de twee stenen plaquettes die Mozes erin had gelegd toen de Here bij de berg Horeb zijn verbond had gesloten met het volk Israël, na het vertrek uit Egypte.

10Terwijl de priesters terugkeerden uit het binnenste heiligdom, vulde een heldere wolk de tempel 11en daardoor konden de priesters niet meer de tempel in om er hun diensten te verrichten. De heerlijkheid en glorie van de Here vulde het hele gebouw.

12Toen riep koning Salomo de Here aan met de volgende woorden: ‘De Here heeft gezegd dat Hij in de dichte wolk zou wonen. 13Maar, Here, ik heb op aarde een prachtig huis voor U gebouwd. Een plaats waar U voor altijd kunt verblijven.’ 14De koning draaide zich om naar de mensen die om hem heen stonden en zegende hen. 15‘Gezegend zij de Here, de God van Israël,’ zei hij, ‘die vandaag heeft gedaan wat Hij mijn vader David had beloofd. 16Want Hij zei tegen hem: “Toen Ik mijn volk uit Egypte haalde, wees Ik geen plaats aan voor mijn tempel, maar Ik wees wel een man aan als leider van mijn volk.” 17Die man was mijn vader David. Hij had altijd al de wens een tempel te bouwen voor de Here, de God van Israël. 18Maar de Here zei tegen mijn vader David: “U hebt er goed aan gedaan dat u van plan was een tempel te bouwen voor mijn naam. 19Toch mag u die tempel niet bouwen, maar uw zoon zal dat doen.” 20Nu is de Here zijn belofte nagekomen, ik ben mijn vader opgevolgd als koning van Israël en nu is deze tempel gebouwd voor de Here, de God van Israël. 21En in die tempel heb ik een plaats bestemd voor de ark waarin het verbond rust dat de Here met onze voorouders sloot, toen Hij hen uit het land Egypte bevrijdde.’

Salomo draagt de tempel op aan God

22Terwijl de mensen toekeken, ging Salomo voor het altaar van de Here staan, spreidde zijn handen uit naar de hemel en zei: 23‘O Here, God van Israël, er is geen God zoals U in de hemel of op aarde, want U bent liefdevol en trouw en U houdt uw beloften aan uw volk als het uw wil doet. 24Vandaag bent U de belofte aan mijn vader David nagekomen, die uw dienaar was. Wat uw mond heeft gesproken, heeft uw hand in vervulling laten gaan. Dat hebben wij vandaag kunnen zien. 25En, Here, God van Israël, vervul nu ook uw verdere beloften aan David: dat van zijn nakomelingen altijd één op de troon van Israël zal zitten, zolang zij uw wegen volgen en hun best doen uw wil te doen. 26Ja, God van Israël, vervul ook deze belofte die U mijn vader David hebt gedaan. 27Is het echt wel mogelijk dat U op aarde zou willen wonen? Zelfs de hoogste hemelen kunnen U niet bevatten, laat staan deze tempel die ik heb gebouwd. 28Hoor nu mijn gebed en luister naar mijn smeken, Here, mijn God. Beantwoord mijn roepen en luister naar het gebed van uw dienaar. 29Waak alstublieft dag en nacht over deze tempel, deze plaats waarin U, zoals U hebt beloofd, zult wonen om naar mij te luisteren wanneer ik tot U bid. 30Luister naar elke smeekbede van het volk Israël wanneer de mensen naar deze plaats komen om te bidden. Ja, luister vanuit de hemel, waar U woont en als U het hoort, vergeeft U dan alstublieft. 31Als een man wordt beschuldigd van een misdaad en hier, staande voor uw altaar, zweert dat hij het niet heeft gedaan, 32luister dan vanuit de hemel naar hem en doe wat juist is: geef de schuldige zijn verdiende loon en beloon de oprechte naar zijn verdienste. 33-34 En als uw onderdanen zondigen en hun vijanden verslaan hen, luister dan vanuit de hemel naar hen en vergeef hen als zij zich willen bekeren en opnieuw belijden dat U hun God bent. Breng hen dan terug naar dit land dat U hun voorouders hebt gegeven.

35-36 Als de hemelen zijn gesloten en er geen regen valt wegens hun zonde, luister dan vanuit de hemel en vergeef hen als zij op deze plaats bidden en uw naam aanroepen. Help hen dan om—nadat U hen hebt gestraft—de goede wegen te bewandelen en stuur regen naar het land dat U uw volk hebt gegeven.

37Als in het land hongersnood heerst of het wordt getroffen door plantenziekten of schadelijke insecten, zoals sprinkhanen of kevers, of als Israëls vijanden haar steden belegeren of als de mensen lijden onder een epidemie of een plaag—of wat voor problemen ook maar— 38-39 luister dan als zij hun zonde beseffen en bij deze tempel bidden, luister vanuit de hemel, vergeef en antwoord hen die een eerlijke bekentenis hebben afgelegd. U kent immers ieders hart. 40Op die manier zullen zij leren ontzag voor U te hebben, terwijl zij wonen in dit land dat U hun voorouders gaf.

41-42 En als buitenlanders uw naam horen noemen en uit verre landen komen om U te aanbidden (want zij zullen horen vertellen over uw grote naam en machtige wonderen) en bij deze tempel te bidden, 43luister dan naar hen vanuit de hemel en geef antwoord op hun gebeden. Alle volken van de aarde zullen uw naam kennen en ontzag voor U hebben, net als uw volk Israël, en de hele wereld zal weten dat U in deze tempel in ons midden bent.

44Als U uw volk laat vechten tegen zijn vijanden en het bidt tot U, terwijl zijn blik gericht is naar uw uitverkoren stad Jeruzalem en naar deze tempel die ik voor uw naam heb gebouwd, 45luister dan naar zijn gebed en help het.

46Als zij tegen U zondigen (en wie doet dat niet?) en U boos op hen wordt en toelaat dat hun vijanden hen als gevangenen wegleiden naar een ander land, dichtbij of veraf, 47en als zij daar beseffen wat zij hebben gedaan en U roepen met de woorden: “Wij hebben gezondigd, wij hebben het helemaal verkeerd gedaan,” 48als zij eerlijk naar U terugkeren en bidden in de richting van de stad Jeruzalem die U hebt gekozen en in de richting van deze tempel die ik voor uw naam heb gebouwd, 49luister dan naar hun bidden en smeken vanuit de hemel waar U woont en kom hen te hulp. 50Vergeef uw onderdanen al hun slechte daden waarmee zij tegen U zondigen en laten hun overwinnaars goed voor hen zijn. 51Want zij zijn uw volk, uw erfdeel, dat U bevrijdde uit de Egyptische oven. 52Mogen uw ogen geopend zijn en uw oren luisteren naar hun smeekbeden. O Here, luister naar hen en geef antwoord als zij tot U roepen. 53Want, Here God, toen U onze voorouders uit Egypte bevrijdde, hebt U door uw dienaar Mozes gezegd dat U uit alle volken op aarde Israël had uitgekozen om uw eigen volk te zijn.’

54-55 Salomo zat geknield met zijn handen uitgestrekt naar de hemel. Na zijn gebed stond hij op uit zijn geknielde houding voor het altaar van de Here en sprak luid de volgende zegen uit over het volk van Israël: 56‘Gezegend zij de Here, die zijn belofte heeft gehouden en zijn volk Israël rust heeft gegeven. Elk woord van zijn beloften die zijn dienaar Mozes afkondigde, is waarheid geworden. 57Moge de Here, onze God, met ons zijn zoals Hij met onze voorouders was, moge Hij ons nooit verlaten. 58Moge Hij ons het verlangen geven in alles zijn wil te doen en alle geboden en aanwijzingen te gehoorzamen die Hij onze voorouders heeft gegeven. 59En mogen deze woorden van mijn gebed de Here dag en nacht voor ogen staan, zodat Hij mij en heel Israël helpt en geeft wat wij dagelijks nodig hebben. 60Mogen de volken over de hele aarde weten dat de Here God is en dat geen enkele andere God bestaat. 61O mijn volk, leid een goed en oprecht leven voor de Here, onze God. Gehoorzaam altijd zijn wetten en geboden, net zoals u momenteel doet.’

62-63 Daarna wijdden de koning en alle aanwezigen de tempel in door het brengen van vredeoffers aan de Here, in totaal tweeëntwintigduizend runderen en honderdtwintigduizend schapen! 64Als tijdelijke maatregel heiligde de koning de hof vóór de tempel voor het brengen van brandoffers, spijsoffers en het vet van de vredeoffers, want het koperen altaar was te klein om zoveel offers ineens te verwerken.

65Voor deze gelegenheid vierden Salomo en het hele volk Israël veertien dagen lang feest en uit het hele land kwamen grote groepen mensen naar Jeruzalem, vanaf de Hamatpas in het noorden tot de beek bij de grens met Egypte. 66Na afloop stuurde Salomo de mensen terug naar huis.

Zij waren blij met de goedheid die de Here had getoond aan zijn dienaar David en het volk Israël. En bij hun afscheid zegenden zij de koning.