A parábola do banquete de casamento
(Lc 14.16-24)
1Jesus usou mais uma parábola: 2“O reino dos céus pode ser compreendido com o que aconteceu a certo rei que preparou uma grande festa de casamento para o filho. 3Mandou os seus servos chamar os convidados para a festa de casamento mas estes não quiseram vir. 4Então mandou outros servos com a seguinte instrução: ‘Digam aos convidados: “O banquete está pronto! Já mandei matar os bois. Está tudo pronto! Apressem-se, venham para a festa!” ’
5Mas os convidados não fizeram caso e não foram, indo cada um tratar dos seus negócios; um para o campo, o outro para a loja. 6Outros bateram nos servos do rei e trataram-nos vergonhosamente, chegando a matar alguns.
7O monarca, muito zangado, mandou as tropas, matou os assassinos e incendiou-lhes a cidade. 8E disse aos seus servos: ‘A festa de casamento está pronta e aqueles que convidei não merecem tal honra. 9Vão pelos caminhos e convidem todos os que encontrarem.’ 10Os servos assim fizeram, mandando entrar as pessoas que encontravam e aceitavam o convite, fossem boas ou más, até que o salão do banquete ficou repleto.
11Quando o rei entrou para conhecer os convidados, reparou que certo homem não usava o traje de cerimónia. 12‘Amigo, como é possível teres vindo sem traje de casamento?’ E o homem não teve resposta que desse. 13Então o monarca disse aos seus súbditos: ‘Atem-lhe os pés e as mãos e lancem-no lá fora na escuridão, onde há choro e ranger de dentes.’ 14Porque muitos são chamados, mas poucos escolhidos.”
Pagar impostos a César?
(Mc 12.13-17; Lc 20.20-26)
15Os fariseus juntaram-se para arranjar maneira de apanhar Jesus em falso, fazendo-o dizer qualquer coisa que lhes desse motivo para o prenderem. 16Resolveram mandar alguns dos seus homens, juntamente com os herodianos, para lhe fazer esta pergunta: “Mestre, sabemos que dizes a verdade sem hesitações, e que não te deixas arrastar pelas opiniões dos homens. 17Ora diz-nos o que achas: estará certo ou não pagarmos impostos a César?”
18Jesus percebeu a sua intenção e exclamou: “Fingidos! Porque é que querem experimentar-me? 19Mostrem-me uma moeda!” E eles entregram-lhe uma moeda pequena. 20“De quem é a figura nela cunhada? E de quem é este nome por baixo?” 21Responderam: “De César.” E disse-lhe: “Pois bem, deem a César o que é de César e a Deus o que é de Deus!”
22Esta resposta apanhou-os de surpresa e, admirados, foram-se embora.
Casamento e a ressurreição
(Mc 12.18-27; Lc 20.27-40)
23Naquele mesmo dia, alguns dos saduceus, que não acreditam que os mortos tornem a viver, foram ter com ele e perguntaram-lhe: 24“Mestre, Moisés disse que se um homem morrer sem deixar filhos, seu irmão deve casar com a viúva e gerar um filho, de modo a garantir descendência ao irmão defunto. 25Houve entre nós uma família de sete irmãos. O mais velho casou-se, morrendo sem descendência, pelo que a viúva casou com o segundo irmão. 26Também este morreu sem deixar filhos e a viúva casou com o irmão seguinte, e assim por diante. 27Acabou por ser mulher de todos eles, um após outro. Por fim, morreu também ela. 28Portanto, de qual dos sete irmãos será esposa na ressurreição, visto ter sido casada com cada um deles?”
29Jesus respondeu: “O vosso erro deve-se à vossa ignorância das Escrituras e do poder de Deus. 30Porque quando os mortos ressuscitarem não se casarão, antes serão como os anjos do céu. 31E quanto a haver ou não ressurreição dos mortos, nunca leram o que Deus vos diz nas Escrituras? 32‘Eu sou o Deus de Abraão, o Deus de Isaque e o Deus de Jacob.’22.32 Êx 3.6. Portanto, Deus não é Deus dos mortos, mas dos vivos.”
33O povo ficava muito impressionado com as suas respostas.
O maior mandamento
(Mc 12.28-31; Lc 10.25-28)
34Os fariseus, ao saberem que tinha tapado assim a boca aos saduceus, imaginaram outra pergunta para lhe fazer. 35Um deles, que era especialista na Lei judaica, perguntou:
36“Mestre, qual é o mandamento mais importante na Lei de Moisés?”
37Ao que Jesus respondeu: “ ‘Ama o Senhor, teu Deus, com todo o teu coração, com toda a tua alma e com todo o teu entendimento.’22.37 Dt 6.5. 38Este é o primeiro e o maior dos mandamentos. 39O segundo é parecido: ‘Ama o teu próximo como a ti mesmo.22.39 Lv 19.18.’ 40Todos os outros mandamentos e preceitos da Lei e dos profetas nascem destes dois.”
O Cristo é o filho de quem?
(Mc 12.35-37; Lc 20.41-44)
41Depois, com os fariseus à sua volta, fez-lhes uma pergunta: 42“Que acham vocês do Cristo? De quem é ele filho?” Responderam: “De David!”
43“Então porque é que David, inspirado pelo Espírito Santo, lhe chama Senhor? Pois são de David estas palavras:
44‘Disse o Senhor ao meu Senhor:
“Senta-te à minha direita,
até que ponha os teus inimigos debaixo dos teus pés.22.44 Sl 110.1.” ’
45Uma vez que David lhe chamou Senhor, como pode ser seu filho?” 46Eles não conseguiram dar resposta. Depois disto, ninguém se atrevia a fazer-lhe qualquer outra pergunta.
คำอุปมาเรื่องงานอภิเษก
1พระเยซูตรัสแก่พวกเขาเป็นคำอุปมาอีกว่า 2“อาณาจักรสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์ผู้ทรงเตรียมงานเลี้ยงฉลองพิธีอภิเษกสมรสให้โอรสของพระองค์ 3พระองค์ทรงส่งคนไปเรียกบรรดาผู้ที่เชิญไว้ให้มาร่วมงานเลี้ยง แต่พวกเขาไม่ยอมมา
4“แล้วพระองค์จึงทรงส่งคนไปอีกและสั่งว่า ‘ไปบอกพวกที่รับเชิญไว้ว่าเราเตรียมงานเลี้ยงเรียบร้อย วัวและโคขุนก็ชำแหละเสร็จ ทุกอย่างพร้อมแล้ว มาร่วมงานเลี้ยงเถิด’
5“แต่คนเหล่านั้นไม่สนใจและไปเสีย บางคนไปที่นา บางคนไปทำธุรกิจของตน 6คนอื่นๆ นอกนั้นก็จับข้าราชบริพารมาทำร้ายและฆ่าทิ้งเสีย 7กษัตริย์จึงกริ้วนัก พระองค์ทรงส่งกองทัพมาประหารพวกฆาตกรและเผาเมืองของพวกเขา
8“แล้วพระองค์ตรัสกับคนของพระองค์ว่า ‘งานเลี้ยงพร้อมแล้วแต่ผู้ที่เราเชิญไว้ไม่คู่ควร 9จงไปที่มุมถนน เจอใครก็เชิญมางาน’ 10ดังนั้นข้าราชบริพารจึงออกไปตามท้องถนนและรวบรวมคนทั้งหมดที่พบมาไม่ว่าดีหรือเลว และท้องพระโรงงานอภิเษกก็มีแขกเหรื่อคับคั่ง
11“แต่เมื่อกษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกเหรื่อ ก็ทรงเห็นคนหนึ่งที่นั่นไม่ได้สวมชุดสำหรับงานแต่งงาน 12จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรโดยไม่สวมชุดสำหรับงานแต่งงาน?’ เขาก็อ้ำอึ้งพูดไม่ออก
13“แล้วกษัตริย์จึงสั่งมหาดเล็กว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าเขาและโยนออกไปยังที่มืดภายนอกที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
14“เพราะหลายคนได้รับเชิญ แต่น้อยคนนักที่ได้รับเลือก”
การเสียภาษีแก่ซีซาร์
(มก.12:13-17; ลก.20:20-26)
15แล้วพวกฟาริสีจึงออกไปวางแผนกันเพื่อจับผิดถ้อยคำของพระองค์ 16เขาจึงส่งสาวกของตนกับกลุ่มผู้สนับสนุนเฮโรดมาทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ เรารู้ว่าท่านเป็นคนซื่อตรงและสอนทางของพระเจ้าตามความจริง ท่านไม่เอนเอียงไปตามมนุษย์เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร 17โปรดบอกเราเถิดว่าท่านคิดเห็นอย่างไร? เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์?”
18แต่พระเยซูทรงรู้ทันเจตนาชั่วของพวกเขาจึงตรัสว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าพยายามมาจับผิดเราทำไม? 19ไหนเอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้เราดูซิ” พวกเขาจึงนำเหรียญหนึ่งเดนาริอันมาถวาย 20และพระองค์ตรัสถามพวกเขาว่า “รูปนี้เป็นของใคร? คำจารึกเป็นของใคร?”
21พวกเขาทูลตอบว่า “ของซีซาร์” แล้วพระองค์จึงตรัสแก่พวกเขาว่า “ของของซีซาร์จงให้แก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า”
22เมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกพิศวงจึงละจากพระองค์ไป
ปัญหาเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
(มก.12:18-27; ลก.20:27-40)
23ในวันเดียวกันนั้นพวกสะดูสีซึ่งกล่าวว่าไม่มีการเป็นขึ้นจากตายมาทูลถามพระองค์ว่า 24“ท่านอาจารย์ โมเสสสั่งพวกเราไว้ว่าถ้าชายใดเสียชีวิตไปโดยไม่มีบุตร พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้องแต่งงานกับภรรยาม่ายของเขาเพื่อจะมีบุตรให้ผู้นั้น 25คราวนี้มีพี่น้องเจ็ดคน พี่ชายคนโตแต่งงานแล้วตายไปและเพราะเขาไม่มีบุตรจึงทิ้งภรรยาไว้ให้น้องชาย 26คนที่สองที่สามก็เช่นเดียวกัน จนมาถึงคนที่เจ็ด 27ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตาย 28แล้วเมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้หญิงคนนี้จะเป็นภรรยาของใครในเจ็ดคนนั้นเพราะทุกคนล้วนได้นางเป็นภรรยา?”
29พระเยซูทรงตอบว่า “พวกท่านผิดแล้วเพราะพวกท่านไม่รู้พระคัมภีร์และฤทธิ์เดชของพระเจ้า 30เมื่อเป็นขึ้นจากตาย ผู้คนจะไม่แต่งงานหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ 31ส่วนที่เกี่ยวกับการเป็นขึ้นจากตายนั้น พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือที่พระเจ้าตรัสแก่ท่านว่า 32‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’22:32 อพย.3:6? พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น”
33เมื่อประชาชนได้ยินดังนี้ก็เลื่อมใสในคำสอนของพระองค์
พระบัญญัติข้อใหญ่สุด
(มก.12:28-31)
34เมื่อพวกฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูทรงทำให้พวกสะดูสีนิ่งอึ้งไปจึงรวมหัวกัน 35คนหนึ่งในพวกเขาซึ่งรอบรู้ในบทบัญญัติมาทดสอบพระเยซูโดยทูลถามว่า 36“ท่านอาจารย์ พระบัญญัติข้อใดในหนังสือบทบัญญัติที่สำคัญที่สุด?”
37พระเยซูตรัสตอบว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านอย่างสุดใจ สุดจิต และสุดความคิดของท่าน’22:37 ฉธบ.6:5 38นี่เป็นพระบัญญัติข้อสำคัญที่สุดและข้อแรก 39ข้อที่สองก็เช่นกันคือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’22:39 ลนต.19:18 40หนังสือบทบัญญัติและหนังสือผู้เผยพระวจนะล้วนขึ้นกับบทบัญญัติสองข้อนี้”
พระคริสต์เป็นบุตรของใคร
(มก.12:35-37; ลก.20:41-44)
41ขณะพวกฟาริสีมาชุมนุมกัน พระเยซูทรงถามว่า 42“พวกท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับพระคริสต์22:42 หรือ พระเมสสิยาห์? พระองค์ทรงเป็นบุตรของใคร?”
พวกเขาทูลว่า “บุตรของดาวิด”
43พระองค์ตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเมื่อกล่าวโดยพระวิญญาณดาวิดจึงเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’? เพราะดาวิดบอกว่า
44“ ‘พระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า
“จงนั่งที่ขวามือของเรา
จนกว่าเราจะสยบศัตรูของเจ้า
ไว้ใต้เท้าของเจ้า” ’22:44 สดด.110:1
45ในเมื่อดาวิดเรียกพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แล้วพระองค์จะเป็นบุตรของดาวิดได้อย่าง ไร?” 46ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์ได้สักคำและตั้งแต่วันนั้นไม่มีผู้ใดกล้ามาทูลถามพระองค์อีกเลย
