ผู้วินิจฉัย 18:1-31, ผู้วินิจฉัย 19:1-30 TNCV

ผู้วินิจฉัย 18:1-31

คนตระกูลดานตั้งถิ่นฐานในลาอิช

ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครอง เผ่าดานพยายามเสาะหาทำเลเพื่อตั้งถิ่นฐาน เพราะว่าพวกเขายังไม่มีดินแดนกรรมสิทธิ์ท่ามกลางเผ่าต่างๆ ของอิสราเอล ฉะนั้นชาวดานจึงส่งนักรบห้าคนจากเมืองโศราห์และเอชทาโอลไปสืบและสำรวจดินแดนซึ่งจะเข้าไปตั้งถิ่นฐาน คนเหล่านั้นเป็นตัวแทนของตระกูลต่างๆ ของพวกเขา ชาวดานกล่าวกับพวกเขาว่า “จงไปสำรวจดูแผ่นดินนั้น”

เมื่อมาถึงแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม พวกเขาก็พักค้างคืนที่บ้านของมีคาห์ เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้บ้านของมีคาห์ พวกเขาจำสำเนียงของหนุ่มเลวีผู้นั้นได้ จึงแวะถามว่า “ใครพาเจ้ามาที่นี่? มาทำอะไรที่นี่? และมาทำไม?”

หนุ่มเลวีก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่มีคาห์ทำเพื่อเขา และกล่าวว่า “เขาได้จ้างข้าพเจ้าให้เป็นปุโรหิตของเขา”

คนเหล่านั้นจึงพูดกับเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นช่วยทูลถามพระเจ้าให้ด้วยว่าการเดินทางของเราครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่”

ปุโรหิตตอบว่า “จงไปดีมีสุขเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบกับการเดินทางของท่าน”

ฉะนั้นทั้งห้าคนจึงเดินทางต่อไปจนถึงเมืองลาอิช และเห็นว่าผู้คนที่นั่นต่างอยู่อย่างสงบสุขเหมือนชาวไซดอน ทั้งมั่นคงและปลอดภัย และเนื่องจากดินแดนอุดมสมบูรณ์และไม่ขาดสิ่งใด พวกเขาจึงเจริญรุ่งเรืองมาก พวกเขาก็อยู่ห่างไกลจากไซดอนและไม่มีการติดต่อกับใครเลยด้วย18:7 หรือกับพวกอารัม

เมื่อสายสืบกลับมายังโศราห์และเอชทาโอล พวกพ้องก็ถามว่า “พวกเจ้าไปพบเห็นอะไรมาบ้าง?”

พวกเขาตอบว่า “ให้เราไปโจมตีคนเหล่านั้นเถิด! เราเห็นแล้วว่าดินแดนนั้นดีมาก พวกท่านจะไม่ทำอะไรเลยหรือ? อย่ารีรอเลย ไปยึดที่นั่นกันเถิด เมื่อพวกท่านไปถึง ท่านจะพบว่าผู้คนที่นั่นไม่หวาดระแวงอะไรเลย ดินแดนก็กว้างขวางและไม่ขาดอะไรเลย เป็นดินแดนที่พระเจ้าทรงมอบไว้ในมือของท่านแล้ว”

ฉะนั้นชายหกร้อยคนจากตระกูลดานพร้อมอาวุธครบมือ ก็ยกออกจากโศราห์และเอชทาโอล ระหว่างทางพวกเขาตั้งค่ายใกล้ๆ คีริยาทเยอาริมในเขตยูดาห์ ด้วยเหตุนี้บริเวณตะวันตกของคีริยาทเยอาริมจึงได้ชื่อว่ามาหะเนห์ดาน18:12 แปลว่า ค่ายของดานจนกระทั่งทุกวันนี้ พวกเขาเดินทางจากที่นั่นจนมาถึงแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม และมาถึงบ้านของมีคาห์

ชายทั้งห้าที่เคยมาสำรวจเมืองลาอิชพูดกับพี่น้องของเขาว่า “ท่านทราบไหมว่าในบ้านนั้นมีหิ้งบูชาพร้อมเอโฟด เทวรูปประจำบ้าน รูปสลัก และรูปเคารพต่างๆ มากมาย ทีนี้ท่านคงรู้แล้วว่าควรทำอะไร?” ดังนั้นพวกเขาจึงแวะเข้าไปยังบ้านของหนุ่มเลวีคนนั้นซึ่งอยู่ในที่ของมีคาห์และทักทายเขา ชายตระกูลดานหกร้อยคนถืออาวุธครบมือยืนอยู่ตรงทางเข้าประตู แล้วสายสืบทั้งห้าเข้าไปในบ้าน เอารูปสลัก เอโฟด เทวรูปประจำบ้าน และรูปเคารพต่างๆ ออกมาในขณะที่ปุโรหิต และคนถืออาวุธหกร้อยคนยืนอยู่ที่ปากทางเข้าประตู

เมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้านของมีคาห์ แล้วเอารูปสลัก เอโฟด เทวรูปประจำบ้าน และรูปเคารพต่างๆ ออกมา ปุโรหิตจึงร้องถามว่า “ท่านกำลังทำอะไรน่ะ?”

เขาเหล่านั้นตอบว่า “จงเงียบเถิด! อย่าพูดอะไร แล้วมากับเรา มาเป็นบิดา เป็นปุโรหิตของเรา ทำหน้าที่ให้คนทั้งตระกูลในอิสราเอลไม่ดีกว่าอยู่ประจำครัวเรือนของคนคนเดียวหรอกหรือ?” ปุโรหิตหนุ่มจึงยินดีไปกับพวกเขา และนำเอโฟด เทวรูป ประจำบ้าน และรูปสลักไปด้วย คนทั้งหมดเริ่มออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง ให้ขบวนเด็ก ฝูงสัตว์ และทรัพย์สินนำหน้าไป แล้วพวกเขาก็ไปจากที่นั่น

เมื่อออกจากบ้านมีคาห์มาไกลพอควร มีคาห์กับเพื่อนบ้านก็ไล่ตามมาทันชาวดาน และพวกเขาตะโกนให้ขบวนนั้นหยุด ชาวดานจึงหันมาถามมีคาห์ว่า “พวกท่านไล่ตามเรามาอย่างนี้ต้องการอะไร?”

มีคาห์ตอบว่า “ถามมาได้ว่าต้องการอะไร? ก็พวกท่านเอาเทวรูปทั้งหมดของข้าพเจ้ามา พร้อมทั้งปุโรหิตด้วย ข้าพเจ้าจะมีอะไรเหลือ?”

ชาวดานกล่าวว่า “ไม่ต้องเถียงกับเรา เดี๋ยวมีใครโมโหขึ้นมา พวกท่านกับครอบครัวก็จะถูกฆ่าเสียหมด” ดังนั้นชาวดานก็เดินทางต่อไป และมีคาห์เห็นว่าฝ่ายนั้นมีกำลังมากกว่าจึงกลับบ้าน

ชาวดานพร้อมทั้งรูปเคารพของมีคาห์และปุโรหิตนั้นก็มาถึงเมืองลาอิช ผู้คนอยู่กันอย่างสงบและไม่ได้ระแวดระวังภัย พวกเขาจึงบุกโจมตี และเข้าสังหารผู้คน เผาเมืองวอดวาย ไม่มีใครมาช่วยเหลือเพราะพวกเขาอยู่ไกลจากไซดอนและไม่ได้คบหากับผู้ใด เมืองนี้อยู่ในหุบเขาใกล้เบธเรโหบ

ชาวดานสร้างเมืองขึ้นใหม่และตั้งถิ่นฐานที่นั่น แล้วตั้งชื่อเมืองว่าดานตามชื่อบรรพบุรุษซึ่งเป็นบุตรชายของอิสราเอล แม้ว่าเดิมชื่อเมืองลาอิช พวกเขาสถาปนาเทวรูปขึ้นสำหรับตนที่นั่นและแต่งตั้งชายผู้หนึ่งชื่อโยนาธานบุตรเกอร์โชมบุตรโมเสส18:30 ฉบับ MT. ว่ามนัสเสห์ และตั้งเหล่าบุตรชายของเขาให้เป็นปุโรหิตสำหรับเผ่าดานสืบทอดกันมาจนกระทั่งแผ่นดินนั้นตกเป็นเชลย พวกเขาใช้รูปเคารพที่มีคาห์สร้างขึ้นต่อไป ตลอดเวลานั้นพระนิเวศของพระเจ้าอยู่ที่ชิโลห์

Read More of ผู้วินิจฉัย 18

ผู้วินิจฉัย 19:1-30

คนเลวีกับภรรยาน้อย

สมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครอง

มีชายตระกูลเลวีคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม เขาได้พาหญิงสาวคนหนึ่งจากเบธเลเฮมในยูดาห์มาเป็นภรรยาน้อย แต่หญิงนั้นไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี นางทิ้งเขากลับไปอยู่บ้านของบิดาที่เบธเลเฮมในยูดาห์ได้สี่เดือน แล้วสามีของนางไปเยี่ยมนางพร้อมคนใช้ของเขาและลาสองตัว เพื่อชักชวนให้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก นางพาเขาเข้าไปในบ้านของบิดา เมื่อบิดาเห็นเขาก็ต้อนรับด้วยความยินดี พ่อตาจึงชวนลูกเขยให้พักอยู่ด้วย เขาก็กินดื่มและพักอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน

ในวันที่สี่พวกเขาก็ตื่นแต่เช้าเตรียมออกเดินทาง แต่บิดาของหญิงนั้นกล่าวกับบุตรเขยว่า “หาอะไรกินให้ชื่นใจก่อนที่จะไป” ดังนั้นเขาและพ่อตาจึงนั่งลงกินดื่มด้วยกัน ต่อมาพ่อตาได้ชักชวนว่า “ขอให้พักผ่อนให้สำราญอีกสักคืนเถิด” เมื่อชายนั้นลุกขึ้นเตรียมจะไป พ่อตาก็พูดโน้มน้าวอีก ดังนั้นเขาจึงค้างคืนที่นั่น เช้าวันที่ห้า เมื่อเขาลุกขึ้นจะไป พ่อตากล่าวว่า “พักให้สดชื่น คอยจนบ่ายหน่อยแล้วค่อยไป!” แล้วเขากับพ่อตาก็นั่งลงกินด้วยกันอีก

เมื่อชายผู้นั้นกับภรรยาน้อยและคนรับใช้กำลังจะไป พ่อตาก็พูดว่า “นี่ก็จวนจะเย็นแล้ว ค้างอีกสักคืนเถอะ คืนนี้เราจะได้ฉลองอีกครั้ง แล้วพรุ่งนี้ลูกค่อยตื่นแต่เช้าออกเดินทางไป” แต่ชายผู้นั้นยืนกรานไม่ยอมค้างคืน พวกเขาจึงออกเดินทางมุ่งไปยังเยบุส (คือเยรูซาเล็ม) พร้อมด้วยภรรยาน้อยและลาสองตัวที่มีอาน

เมื่อพวกเขามาเกือบถึงเยบุสก็ใกล้ค่ำแล้ว คนรับใช้นั้นพูดกับนายว่า “ให้เราแวะพักที่เมืองของชาวเยบุส และค้างคืนกันที่นี่เถิด”

นายของเขาตอบว่า “ไม่ได้ เราจะไม่พักอยู่ในเมืองของคนต่างชาติ ซึ่งไม่ใช่ชาวอิสราเอล เราจะไปต่อจนถึงกิเบอาห์” เขากล่าวอีกว่า “ให้เราพยายามไปถึงกิเบอาห์หรือรามาห์ แล้วค่อยค้างคืนที่ใดที่หนึ่ง” ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางต่อไป ขณะที่เขามาถึงกิเบอาห์ในเขตเบนยามิน ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า เขาหยุดเพื่อจะค้างคืนที่นั่น แต่เนื่องจากไม่มีใครเชิญให้พักด้วย พวกเขาจึงไปนั่งอยู่ที่ลานเมือง

เย็นวันนั้นชายชราผู้หนึ่งซึ่งมาจากแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม เขากลับจากทำงานในทุ่งนาเพื่อจะกลับบ้านในกิเบอาห์ (ซึ่งชาวเบนยามินอาศัยอยู่ที่นั่น) เมื่อเห็นนักเดินทางนั่งอยู่ที่ลานเมือง ชายชราผู้นั้นจึงถามว่า “พวกท่านมาจากที่ไหน? และกำลังจะไปที่ไหน?”

เขาตอบว่า “พวกเรามาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ กำลังจะกลับไปยังบ้านของเรา ซึ่งเป็นพื้นที่ห่างไกลในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม ข้าพเจ้าได้ไปเมืองเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ และขณะนี้กำลังจะไปยังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่มีใครเชิญเราเข้าไปในบ้าน เรามีทั้งฟางและหญ้าสำหรับลา และขนมปังกับเหล้าองุ่นสำหรับผู้รับใช้ของท่านคือตัวข้าพเจ้า ภรรยา และคนรับใช้ พวกเราไม่ขาดสิ่งใด”

ชายชราผู้นั้นจึงกล่าวว่า “เชิญไปพักที่บ้านของข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าจัดหาสิ่งที่ท่านต้องการ ขอเพียงอย่าพักที่ลานเมืองนี้เลย” ชายชราจึงพาคนเหล่านั้นไปที่บ้านของเขาและให้อาหารแก่ลา หลังจากที่พวกเขาล้างเท้าแล้ว ก็กินดื่มด้วยกัน

ขณะที่พวกเขากำลังรื่นเริงอยู่นั้น ก็มีกลุ่มคนชั่วของเมืองนั้นมาล้อมบ้านชายชราไว้ แล้วทุบประตู พร้อมทั้งตะโกนใส่ชายชราเจ้าของบ้านว่า “จงนำชายคนนั้นที่มาพักอยู่ในบ้านของเจ้าออกมา เพื่อเราจะได้ร่วมเพศกับเขา”

เจ้าของบ้านผู้นั้นจึงออกไปข้างนอกพูดกับคนเหล่านั้นว่า “ไม่ได้หรอกเพื่อนเอ๋ย อย่าทำสิ่งเลวทรามต่ำช้าเช่นนั้นเลย เพราะว่าเขาเป็นแขกของข้าพเจ้า อย่าทำสิ่งน่าละอายนี้เลย นี่แน่ะ ข้าพเจ้าจะพาลูกสาวพรหมจารีของข้าพเจ้าและภรรยาน้อยของชายคนนั้นออกมาให้พวกท่านทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่อย่าทำสิ่งน่าละอายกับชายคนนั้นเลย”

แต่พวกเขาไม่ยอมฟัง ชายตระกูลเลวีจึงผลักภรรยาน้อยออกไป คนเหล่านั้นก็รุมข่มขืนและทำร้ายนางตลอดคืน แล้วปล่อยตัวนางมาเมื่อรุ่งสาง นางจึงกลับมาที่บ้านที่สามีของนางพักอยู่ แล้วล้มลงที่หน้าประตูบ้าน นอนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งสว่าง

เมื่อสามีของนางตื่นขึ้นในตอนเช้าและเปิดประตูออกมาเพื่อเดินทางต่อไป ก็พบภรรยาน้อยของตนล้มฟุบนอนอยู่ที่นั่น มือสองข้างพาดธรณีประตู เขาจึงกล่าวกับนางว่า “ลุกขึ้นไปกันเถอะ” แต่ไม่มีเสียงตอบ เขาจึงช้อนร่างของนางพาดบนหลังลา แล้วพากลับบ้าน

เมื่อถึงบ้านแล้วก็หยิบมีดมาฟันร่างของนางแยกเป็นสิบสองท่อน ส่งไปยังเผ่าต่างๆ ของอิสราเอลเผ่าละท่อน ทุกคนที่เห็นพูดกันว่า “ตั้งแต่วันที่อิสราเอลออกมาจากอียิปต์ ไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้เลย ลองคิดดู! ลองพิจารณาดู! โปรดบอกพวกเราว่าจะต้องทำอย่างไร!”

Read More of ผู้วินิจฉัย 19