ปฐมกาล 17:1-27, ปฐมกาล 18:1-33 TNCV

ปฐมกาล 17:1-27

พันธสัญญาแห่งการเข้าสุหนัต

เมื่ออับรามอายุ 99 ปี องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่เขาและตรัสว่า “เราคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ จงดำเนินชีวิตอยู่ในทางของเราและเป็นคนดีพร้อม เราจะทำพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า และจะทวีจำนวนพงศ์พันธุ์ของเจ้าอย่างมากมาย”

อับรามจึงหมอบกราบซบหน้าลงและพระเจ้าตรัสกับเขาว่า “สำหรับเรา นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้า คือเจ้าจะเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เขาจะไม่เรียกเจ้าว่าอับราม17:5 แปลว่าบิดาผู้ได้รับการยกย่องอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อว่าอับราฮัม17:5 แปลว่าบิดาของคนมากมาย เพราะเราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของชนชาติต่างๆ เราจะให้เจ้ามีลูกมีหลานมากมาย เราจะให้หลายชนชาติเกิดขึ้นมาจากเจ้า และกษัตริย์หลายองค์จะสืบเชื้อสายจากเจ้า เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเราไว้ เป็นพันธสัญญานิรันดร์ระหว่างเรากับเจ้า และกับลูกหลานของเจ้าทุกชั่วอายุที่จะตามมา เป็นพันธสัญญาว่าเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า และจะเป็นพระเจ้าของลูกหลานของเจ้าที่จะเกิดมาภายหลัง เราจะยกดินแดนคานาอันทั้งหมด คือที่เจ้าอาศัยอยู่อย่างคนต่างด้าวในขณะนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ของเจ้ากับลูกหลานสืบไป และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”

แล้วพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “สำหรับเจ้า เจ้าต้องรักษาพันธสัญญาของเรา คือทั้งตัวเจ้าและลูกหลานตลอดทุกชั่วอายุสืบไป นี่คือพันธสัญญาของเรากับเจ้าและกับลูกหลานที่จะมาภายหลังเจ้า เป็นพันธสัญญาที่เจ้าต้องรักษา คือชายทุกคนในพวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัต เจ้าต้องเข้าสุหนัต นี่จะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับเจ้า ผู้ชายทุกคนในพวกเจ้าทุกชั่วอายุที่มีอายุแปดวันจะต้องเข้าสุหนัต รวมทั้งคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือซื้อมาจากคนต่างชาติซึ่งไม่ใช่วงศ์วานของเจ้า ไม่ว่าจะเป็นคนที่เกิดในครัวเรือนของเจ้าหรือเจ้าซื้อตัวมาก็ต้องเข้าสุหนัต พันธสัญญาของเราที่กายของเจ้าจะเป็นพันธสัญญานิรันดร์ ชายใดที่ไม่เข้าสุหนัต คือผู้ที่ไม่ได้เข้าสุหนัตฝ่ายกาย จะถูกตัดออกจากชนชาติของตน เพราะเขาได้ละเมิดพันธสัญญาของเรา”

พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมด้วยว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้า เจ้าจะไม่เรียกนางว่าซารายอีกต่อไป นางจะชื่อว่าซาราห์ เราจะอวยพรนางและจะให้นางกำเนิดลูกชายคนหนึ่งแก่เจ้าอย่างแน่นอน เราจะอวยพรให้นางเป็นมารดาของชาติต่างๆ กษัตริย์ของชนชาติต่างๆ จะมาจากนาง”

อับราฮัมหมอบกราบซบหน้าลง เขาหัวเราะและพูดกับตนเองว่า “ชายอายุร้อยปีจะมีลูกได้หรือ? และซาราห์จะให้กำเนิดลูกเมื่ออายุเก้าสิบหรือ?” และอับราฮัมทูลพระเจ้าว่า “ขอเพียงแต่พระองค์ทรงอวยพรชีวิตของอิชมาเอล!”

แล้วพระเจ้าตรัสว่า “แต่ซาราห์จะคลอดลูกชายคนหนึ่งให้เจ้า และเจ้าจะเรียกเขาว่าอิสอัค17:19 แปลว่าเขาหัวเราะ เราจะสถาปนาพันธสัญญาของเรากับเขา เป็นพันธสัญญานิรันดร์แก่ลูกหลานของเขาที่จะมาภายหลัง สำหรับอิชมาเอล เราได้ฟังเจ้า เราจะอวยพรเขาอย่างแน่นอน เราจะทำให้เขามีลูกมีหลานและจะให้เขาทวีจำนวนขึ้นมากมาย เขาจะเป็นบิดาของเจ้านายสิบสองคน และเราจะทำให้เขาเป็นชนชาติยิ่งใหญ่ แต่พันธสัญญาของเรานั้น เราจะทำกับอิสอัคซึ่งซาราห์จะคลอดให้เจ้าปีหน้าในช่วงเวลานี้” เมื่อตรัสกับอับราฮัมจบแล้ว พระเจ้าก็เสด็จขึ้นไปจากเขา

วันเดียวกันนั้นเอง อับราฮัมก็นำอิชมาเอลและชายทุกคนทั้งที่เกิดในครัวเรือนหรือซื้อมาด้วยเงินของเขามาเข้าสุหนัตตามที่พระเจ้าตรัสสั่งไว้ เวลานั้นอับราฮัมอายุ 99 ปีเมื่อเข้าสุหนัต และอิชมาเอลบุตรชายของเขาอายุ 13 ปี อับราฮัมกับอิชมาเอลบุตรชายของเขาเข้าสุหนัตในวันเดียวกัน และผู้ชายทุกคนในครัวเรือนของอับราฮัม ทั้งคนที่เกิดมาในครัวเรือนหรือซื้อมาจากคนต่างชาติได้เข้าสุหนัตด้วยกันกับเขา

Read More of ปฐมกาล 17

ปฐมกาล 18:1-33

ผู้มาเยือนทั้งสาม

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อับราฮัมใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเร ขณะเขานั่งอยู่ที่ประตูเต็นท์ช่วงแดดร้อนจัด อับราฮัมเงยหน้าขึ้นและมองเห็นชายสามคนยืนอยู่ใกล้ๆ จึงรีบลุกออกไปต้อนรับและก้มคำนับจนถึงพื้น

เขากล่าวว่า “ท่านเจ้าข้า18:3 หรือข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากท่านจะกรุณา โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไป ให้ข้าพเจ้าเอาน้ำมาสักหน่อยเพื่อพวกท่านจะได้ล้างเท้าและพักใต้ร่มไม้นี้ ข้าพเจ้าจะได้หาอะไรมาให้พวกท่านรับประทาน เพื่อพวกท่านจะได้สดชื่นขึ้น แล้วค่อยเดินทางต่อไป ในเมื่อพวกท่านได้มาหาผู้รับใช้ของพวกท่านแล้ว”

พวกเขาตอบว่า “ดีแล้ว จงไปทำอย่างที่ท่านพูดเถิด”

ดังนั้นอับราฮัมจึงรีบกลับเข้าไปในเต็นท์ ไปหาซาราห์และกล่าวว่า “เร็วเข้า เอาแป้งละเอียด 3 ถัง18:6 ภาษาฮีบรูว่า3 ซีห์คือประมาณ 16 กิโลกรัมมานวดและทำขนมปัง”

จากนั้นเขาวิ่งไปที่ฝูงสัตว์ คัดเลือกลูกวัวเนื้อนุ่มรสดีมาตัวหนึ่ง และบอกให้คนใช้รีบจัดแจงปรุงเป็นอาหาร แล้วเขาก็ยกนมเนย กับเนื้อวัวที่ปรุงแล้วมาตั้งต่อหน้าพวกเขา ขณะที่พวกเขารับประทานอาหาร อับราฮัมยืนอยู่ใกล้พวกเขาใต้ต้นไม้นั้น

พวกเขาถามว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าอยู่ที่ไหน?”

เขาตอบว่า “นางอยู่ในเต็นท์”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า18:10 ภาษาฮีบรูว่าแล้วเขากล่าวว่า “เราจะกลับมาหาเจ้าอีกอย่างแน่นอนในปีหน้าเวลาราวๆ นี้ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง”

ส่วนซาราห์กำลังฟังอยู่ที่ทางเข้าประตูเต็นท์ข้างหลังเขา ทั้งอับราฮัมกับซาราห์มีอายุมากแล้ว และซาราห์ก็ไม่มีประจำเดือนอีกแล้ว ดังนั้นซาราห์จึงหัวเราะกับตนเองขณะคิดอยู่ในใจว่า “ฉันก็อายุปูนนี้แล้ว และนายของฉัน18:12 หรือสามีของฉันก็แก่เฒ่าแล้ว ฉันจะยังมีเรื่องยินดีเช่นนี้อีกหรือ?”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์จึงหัวเราะและพูดว่า ‘คนแก่อย่างฉันยังจะมีลูกได้จริงๆ หรือ?’ มีอะไรยากเกินไปสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ? เราจะกลับมาหาเจ้าตามเวลาที่กำหนดในปีหน้า และซาราห์จะให้กำเนิดบุตรชาย”

ซาราห์กลัวจึงโกหกว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้หัวเราะ”

แต่พระองค์ตรัสว่า “เจ้าหัวเราะจริงๆ”

อับราฮัมวิงวอนเพื่อเมืองโสโดม

แล้วคนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นจะจากไป พวกเขามองลงไปทางเมืองโสโดม และอับราฮัมเดินตามไปส่งพวกเขา แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ควรหรือที่เราจะปิดบังสิ่งที่เราจะกระทำไม่ให้อับราฮัมรู้? ในเมื่ออับราฮัมจะเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอย่างแน่นอน และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเขา เพราะว่าเราได้เลือกเขา เพื่อเขาจะสั่งสอนลูกหลานและครัวเรือนของเขาที่จะมีมาภายหลัง ให้รักษาวิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เพื่อว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงสัญญาไว้กับอับราฮัมเป็นจริง”

แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เสียงฟ้องร้องเมืองโสโดมกับโกโมราห์ก็ดังสนั่น และพวกเขาทำบาปมหันต์ จนเราต้องลงไปดูว่าสิ่งที่พวกเขาทำนั้นเลวร้ายอย่างเสียงฟ้องร้องที่ขึ้นมาถึงเราหรือไม่ ถ้าไม่จริง เราก็จะได้รู้”

คนเหล่านั้นจึงหันหน้าเดินไปยังเมืองโสโดม แต่อับราฮัมยังยืนอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า18:22 สำเนาต้นฉบับภาษาฮีบรูโบราณว่าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้ายังคงยืนอยู่ตรงหน้าอับราฮัม แล้วอับราฮัมเข้าไปหาพระองค์และทูลว่า “พระองค์จะทรงกวาดล้างคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่วหรือ? พระองค์จะทำอย่างไรถ้าหากว่ามีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น? พระองค์จะทรงกวาดล้างเมืองนั้นจริงๆ หรือ พระองค์จะไม่ทรงละเว้น18:24 หรืออภัยเช่นเดียวกับข้อ 26ชาวเมืองนั้นเพื่อเห็นแก่คนชอบธรรมห้าสิบคนในนั้นหรือ? พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ พระองค์จะไม่ทรงประหารคนชอบธรรมไปพร้อมกับคนชั่ว หรือปฏิบัติต่อคนชอบธรรมเช่นเดียวกับคนอธรรมเลย พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างนั้นแน่ องค์ตุลาการแห่งสากลโลกจะไม่ธำรงความยุติธรรมไว้หรือ?”

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “หากเราพบคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดม เราจะละเว้นคนทั้งเมืองนั้นเพราะเห็นแก่พวกเขา”

อับราฮัมทูลอีกว่า “ข้าพระองค์ซึ่งเป็นเพียงผงธุลีและขี้เถ้าไม่ควรอาจเอื้อมทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่หากคนชอบธรรมขาดไปห้าคนจากห้าสิบคนเล่า? พระองค์จะยังทรงทำลายเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะคนห้าคนหรือ?”

พระองค์ตรัสว่า “หากเราพบสี่สิบห้าคนที่นั่น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

อับราฮัมจึงทูลอีกว่า “หากพบเพียงสี่สิบคนเล่าพระเจ้าข้า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่สี่สิบคนนั้น เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

แล้วอับราฮัมจึงทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีก หากพบเพียงสามสิบคนที่นั่นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย หากเราพบสามสิบคนที่นั่น”

อับราฮัมทูลว่า “ในเมื่อข้าพระองค์ก็กล้าอาจเอื้อมกราบทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว หากพบเพียงยี่สิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสว่า “เพื่อเห็นแก่ยี่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

แล้วอับราฮัมทูลว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่าทรงพระพิโรธเลย ข้าพระองค์ขอกราบทูลอีกเพียงครั้งเดียว หากพบแต่เพียงสิบคนเท่านั้นเล่า?”

พระองค์ตรัสตอบว่า “เพื่อเห็นแก่สิบคน เราจะไม่ทำลายเมืองนั้น”

เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับราฮัมจบแล้วก็เสด็จจากไป ส่วนอับราฮัมก็กลับบ้าน

Read More of ปฐมกาล 18