ปฐมกาล 11:10-32, ปฐมกาล 12:1-20, ปฐมกาล 13:1-18 TNCV

ปฐมกาล 11:10-32

จากเชมถึงอับราม

(ปฐก.10:21-31; 1พศด.1:17-27)

นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเชม

สองปีหลังจากน้ำท่วม เมื่อเชมอายุได้ 100 ปีก็มีบุตรชาย11:10 ภาษาเดิมว่าได้เป็นบิดาของซึ่งคำว่าบิดาอาจจะมีความหมายว่าบรรพบุรุษเช่นเดียวกับข้อ 11-25ชื่ออารปัคชาด หลังจากนั้นเชมมีชีวิตต่อไปอีก 500 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่ออารปัคชาดอายุได้ 35 ปีก็มีบุตรชายชื่อเชลาห์ หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน11:13 ฉบับ LXX. ว่า35 ปี เขามีบุตรชื่อไคนัน 13หลังจากนั้นเขามีอายุต่อไปอีก 430 ปี มีบุตรชายหญิงอีกหลายคน แล้วเขาก็ตาย เมื่อไคนันมีอายุได้ 130 ปีเขามีบุตรชื่อเชลาห์ หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 330 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน (ดูลก.3:35-36 และเชิงอรรถของปฐก.10:24)

เมื่อเชลาห์อายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อเอเบอร์ หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 403 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่อเอเบอร์อายุได้ 34 ปีก็มีบุตรชายชื่อเปเลก หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 430 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่อเปเลกอายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อเรอู หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 209 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่อเรอูอายุได้ 32 ปีก็มีบุตรชายชื่อเสรุก หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 207 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่อเสรุกอายุได้ 30 ปีก็มีบุตรชายชื่อนาโฮร์ หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 200 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

เมื่อนาโฮร์อายุได้ 29 ปีก็มีบุตรชายชื่อเทราห์ หลังจากนั้นเขามีชีวิตต่อไปอีก 119 ปี และมีบุตรชายหญิงอีกหลายคน

หลังจากที่เทราห์อายุ 70 ปี เขาก็มีบุตรชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน

นี่คือเรื่องราวเชื้อสายของเทราห์

เทราห์มีบุตรชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน ฮารานมีบุตรชายชื่อโลท ขณะที่เทราห์บิดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ฮารานได้สิ้นชีวิตลงที่เมืองเออร์ของชาวเคลเดียซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ทั้งอับรามและนาโฮร์แต่งงานมีครอบครัว ภรรยาของอับรามชื่อซาราย ภรรยาของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์ ซึ่งเป็นบุตรีของฮารานผู้เป็นบิดาของทั้งมิลคาห์และอิสคาห์ นางซารายนั้นไม่มีบุตรเพราะเป็นหมัน

เทราห์พาบุตรชายชื่ออับราม หลานชายชื่อโลทซึ่งเป็นบุตรชายของฮาราน และบุตรสะใภ้ชื่อซาราย ซึ่งเป็นภรรยาของอับรามบุตรชายของเขา ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียเพื่อไปคานาอัน แต่เมื่อมาถึงเมืองฮารานก็ตั้งถิ่นฐานที่นั่น

เทราห์มีชีวิตอยู่ 205 ปี แล้วเขาก็ตายที่เมืองฮาราน

Read More of ปฐมกาล 11

ปฐมกาล 12:1-20

พระเจ้าทรงเรียกอับราม

องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้าเพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า

“เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่

และเราจะอวยพรเจ้า

เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ

และเจ้าจะเป็นพร

เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า

และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า

ทุกชนชาติทั่วโลก

จะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

ดังนั้นอับรามจึงไปตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา โลทก็ไปด้วย อับรามออกจากเมืองฮารานเมื่ออายุ 75 ปี เขานำซารายผู้เป็นภรรยาและโลทผู้เป็นหลานชาย พร้อมด้วยทรัพย์สมบัติทั้งหมดและบริวารที่พวกเขาได้มาเมื่อยังอยู่ที่เมืองฮาราน ออกเดินทางมาจนถึงดินแดนคานาอัน

อับรามเดินทางอยู่ในดินแดนนั้นไปไกลจนถึงสถานบูชาต้นไม้ใหญ่แห่งโมเรห์ในเมืองเชเคม ครั้งนั้นชาวคานาอันอาศัยอยู่ที่นั่น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงปรากฏแก่อับรามและตรัสว่า “เราจะมอบดินแดนนี้แก่เชื้อสาย12:7 หรือเมล็ดพันธุ์ของเจ้า” ดังนั้นเขาจึงสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงปรากฏแก่เขา

จากนั้นเขาเดินทางไปยังแถบเนินเขาด้านตะวันออกของเมืองเบธเอล และตั้งเต็นท์ขึ้นโดยมีเบธเอลอยู่ทางตะวันตกและเมืองอัยอยู่ทางตะวันออก เขาได้ก่อแท่นบูชาขึ้นถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าและนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ที่นั่น จากนั้นอับรามก็ออกเดินทางต่อไปยังเนเกบ

อับรามในอียิปต์

(ปฐก.20:1-18; 26:1-11)

เวลานั้นเกิดการกันดารอาหารในดินแดนคานาอัน อับรามจึงอพยพลงไปอียิปต์และอาศัยอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง เพราะการกันดารอาหารรุนแรงมาก ขณะที่กำลังจะเข้าเขตแดนอียิปต์ อับรามพูดกับซารายผู้เป็นภรรยาว่า “ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นคนสวยมาก เมื่อชาวอียิปต์เห็นเจ้า เขาจะพูดกันว่านี่คือ ‘ภรรยาของชายคนนี้’ แล้วพวกเขาจะฆ่าฉัน แต่จะไว้ชีวิตเจ้า ขอให้เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นน้องสาวของฉัน เพื่อเขาจะปฏิบัติต่อฉันอย่างดีเพราะเห็นแก่เจ้า และเขาจะไว้ชีวิตฉันเพราะเจ้า”

เมื่ออับรามมาถึงอียิปต์ ชาวอียิปต์ก็เห็นว่าซารายสวยมาก และเมื่อข้าราชสำนักของฟาโรห์เห็นนางก็ทูลยกย่องนางต่อฟาโรห์ นางจึงถูกพาตัวไปยังพระราชวัง ฟาโรห์ปฏิบัติต่ออับรามอย่างดีเพราะเห็นแก่นาง และประทานแพะ แกะ วัว ลาตัวผู้และตัวเมีย อูฐ และข้าทาสชายหญิงแก่อับราม

แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้เกิดโรคร้ายแก่ฟาโรห์และราชวงศ์ เพราะเหตุนางซารายภรรยาของอับราม ดังนั้นฟาโรห์จึงเรียกอับรามเข้าเฝ้าและตรัสว่า “ทำไมเจ้าทำกับเราอย่างนี้? ทำไมเจ้าไม่บอกเราว่านางเป็นภรรยาของเจ้า? ทำไมเจ้าจึงพูดว่า ‘นางเป็นน้องสาวของข้าพระบาท’? เราจึงนำนางมาเพื่อเป็นสนม นี่ไง ภรรยาของเจ้า จงรับนางคืนแล้วจงไปเสีย!” ฟาโรห์จึงตรัสสั่งคนของพระองค์เรื่องของอับราม และพวกเขาส่งอับรามไปตามทางของเขาพร้อมกับภรรยาและทุกสิ่งที่เขามี

Read More of ปฐมกาล 12

ปฐมกาล 13:1-18

อับรามแยกทางกับโลท

อับรามจึงอพยพจากอียิปต์ขึ้นไปเนเกบพร้อมด้วยภรรยาและทุกสิ่งที่เขามี โลทก็ไปด้วย อับรามกลายเป็นคนร่ำรวยมาก มีทั้งฝูงสัตว์และเงินทองมากมาย

เขาเดินทางรอนแรมจากเนเกบต่อไปถึงเบธเอล จนมาถึงสถานบูชาระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย ซึ่งเขาเคยตั้งเต็นท์ และได้สร้างแท่นบูชาเป็นครั้งแรก อับรามนมัสการร้องออกพระนามพระยาห์เวห์ที่นั่น

ฝ่ายโลทซึ่งมากับอับรามก็มีฝูงแพะแกะ ฝูงวัว และเต็นท์ด้วย แต่ที่ดินนั้นไม่เพียงพอให้อับรามกับโลทอยู่ร่วมกัน เพราะต่างก็มีทรัพย์สินมากมาย คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทก็ทะเลาะกัน เวลานั้นชาวคานาอันและชาวเปริสซียังอาศัยอยู่ในดินแดนนั้นด้วย

อับรามจึงกล่าวกับโลทว่า “อย่าให้เรากับเจ้าหรือคนของเรากับคนของเจ้าทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน ที่ดินทั้งหมดอยู่ตรงหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ? เราแยกทางกันเถอะ ถ้าเจ้าไปทางซ้าย เราก็จะไปทางขวา ถ้าเจ้าไปทางขวา เราก็จะไปทางซ้าย”

โลทเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ และเห็นว่าที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดตามทิศที่จะไปยังเมืองโศอาร์นั้นมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ดี ดั่งสวนขององค์พระผู้เป็นเจ้าดั่งแผ่นดินอียิปต์ (ขณะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ได้ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์) โลทจึงเลือกเอาบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดเป็นของตนและรอนแรมไปทางตะวันออก เขาทั้งสองจึงแยกทางกัน อับรามอาศัยอยู่ในดินแดนคานาอัน ส่วนโลทไปอาศัยอยู่ตามเมืองต่างๆ ในที่ราบจอร์แดน และตั้งเต็นท์ของเขาใกล้เมืองโสโดม ชาวโสโดมนั้นชั่วร้ายและทำบาปมหันต์ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า

เมื่อโลทแยกทางไปแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอับรามว่า “จงเงยหน้าขึ้นมองดูรอบๆ มองไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เราจะมอบดินแดนทั้งหมดที่เจ้ามองเห็นให้แก่เจ้าและเชื้อสาย13:15 หรือเมล็ดพันธุ์เช่นเดียวกับข้อ 16ของเจ้าตลอดไป เราจะให้เชื้อสายของเจ้ามีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนดุจผงธุลีบนแผ่นดินโลก ถ้าใครสามารถนับผงธุลีได้ก็จะสามารถนับเชื้อสายของเจ้าได้ ไปเถิด เดินไปให้ตลอดความกว้างความยาวของดินแดนนี้ เพราะเราจะยกให้เจ้า”

ดังนั้นอับรามจึงย้ายเต็นท์ไปอยู่ใกล้หมู่ต้นไม้ใหญ่ของมัมเรที่เมืองเฮโบรน และได้สร้างแท่นบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น

Read More of ปฐมกาล 13