เอสรา 8:15-36, เอสรา 9:1-15 TNCV

เอสรา 8:15-36

การกลับสู่เยรูซาเล็ม

ข้าพเจ้าให้พวกเขามาชุมนุมกันที่ลำน้ำซึ่งไหลไปสู่อาหะวาและตั้งค่ายอยู่ที่นั่นสามวัน เมื่อข้าพเจ้าตรวจดูหมู่ประชาชนและปุโรหิตพบว่าไม่มีคนเลวีเลย ข้าพเจ้าจึงให้ไปตามบรรดาผู้นำคือ เอลีเยเซอร์ อารีเอล เชไมอาห์ เอลนาธัน ยารีบ เอลนาธัน นาธัน เศคาริยาห์ และเมชุลลาม ทั้งให้ตามโยยาริบและเอลนาธันซึ่งเป็นผู้รอบรู้มาด้วย ข้าพเจ้าส่งคนเหล่านี้ไปพบอิดโดหัวหน้าชาวยิวที่คาสิเฟีย ข้าพเจ้าบอกพวกเขาให้กล่าวแก่อิดโดและพี่น้องผู้ช่วยงานในพระวิหารที่อาศัยอยู่ที่คาสิเฟีย เพื่อพวกเขาจะได้พาคนที่จะทำงานในพระนิเวศของพระเจ้าของเรามาหาเรา เพราะพระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าอยู่เหนือเรา พวกเขาส่งเชเรบิยาห์ผู้มีความสามารถพร้อมทั้งบุตรและพี่น้องของเขาสิบแปดคนมาให้ เชเรบิยาห์เป็นวงศ์วานของมาห์ลีผู้เป็นบุตรของเลวีผู้เป็นบุตรของอิสราเอล และฮาชาบิยาห์กับเยชายาห์จากวงศ์วานของเมรารีพร้อมทั้งพี่น้องและหลานชายยี่สิบคน ทั้งยังส่งผู้ช่วยงานในพระวิหารอีก 220 คน นี่เป็นกลุ่มคนซึ่งดาวิดและข้าราชบริพารตั้งขึ้นเพื่อให้คอยช่วยงานคนเลวี คนทั้งหมดนี้มีชื่อขึ้นทะเบียนไว้

ข้าพเจ้าประกาศที่ริมลำน้ำอาหะวาให้ถืออดอาหาร เพื่อเราจะถ่อมใจลงต่อหน้าพระเจ้าของเรา และอธิษฐานทูลขอให้ทั้งตัวเรา ลูกหลาน และข้าวของทุกอย่างเดินทางโดยปลอดภัย ข้าพเจ้าละอายใจที่จะทูลขอกำลังทหารและทหารม้าจากกษัตริย์ให้อารักขาเราจากศัตรูตามรายทาง เพราะเราได้กราบทูลกษัตริย์ไว้ว่า “พระหัตถ์อันทรงพระคุณของพระเจ้าของเราอยู่เหนือทุกคนที่หวังพึ่งพระองค์ แต่ทรงพระพิโรธอย่างยิ่งต่อคนทั้งปวงที่ละทิ้งพระองค์” ดังนั้นเราจึงถืออดอาหารและทูลอ้อนวอนพระเจ้าของเราในเรื่องนี้ และพระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเรา

แล้วข้าพเจ้าแต่งตั้งผู้นำปุโรหิตสิบสองคนพร้อมด้วยเชเรบิยาห์ ฮาชาบิยาห์ กับพี่น้องของเขาสิบคน และข้าพเจ้าชั่งเงิน ทองคำ และเครื่องใช้ต่างๆ มอบให้พวกเขา กษัตริย์ ที่ปรึกษาของพระองค์ ข้าราชการ และประชากรอิสราเอลทั้งปวงที่อยู่ที่นั่นได้ถวายสิ่งเหล่านี้เพื่อพระนิเวศของพระเจ้าของเรา ข้าพเจ้าชั่งน้ำหนักสิ่งต่อไปนี้มอบให้พวกเขา มีเงินหนักประมาณ 22 ตัน8:26 ภาษาฮีบรูว่า 650 ตะลันต์ เครื่องเงินต่างๆ หนักประมาณ 3.4 ตัน8:26 ภาษาฮีบรูว่า 100 ตะลันต์ ทั้งสองแห่งในข้อนี้ ทองคำหนักประมาณ 3.4 ตัน ชามทองคำ 20 ใบ มีค่าเท่ากับทองคำประมาณ 8.5 กิโลกรัม8:27 ภาษาฮีบรูว่า 1,000 ดาริค ทั้งมีเครื่องทองสัมฤทธิ์ขัดเงาชั้นดีสองชิ้น ซึ่งมีค่าเทียบเท่าทองคำ

ข้าพเจ้ากล่าวกับพวกเขาว่า “ท่านและเครื่องใช้เหล่านี้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ส่วนเงินและทองคำเป็นของถวายตามความสมัครใจแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของบรรพบุรุษของท่าน จงปกป้องรักษาของทั้งหมดนี้ไว้ให้ดีจนกว่าท่านจะนำออกมาชั่งที่คลังพระนิเวศขององค์พระผู้เป็นเจ้าในเยรูซาเล็มต่อหน้าบรรดาหัวหน้าปุโรหิต คนเลวี และหัวหน้าครอบครัวต่างๆ ของอิสราเอล” แล้วปุโรหิตและคนเลวีจึงรับเงิน ทองคำ และภาชนะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชั่งแล้วนั้น เพื่อนำไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของเราในเยรูซาเล็ม

เราออกเดินทางจากลำน้ำอาหะวามุ่งสู่เยรูซาเล็มในวันที่สิบสองของเดือนที่หนึ่ง พระหัตถ์ของพระเจ้าของเราอยู่เหนือเรา และพระองค์ทรงคุ้มครองเราจากศัตรูและโจรผู้ร้ายตามทาง ดังนั้นเรามาถึงเยรูซาเล็มและพักอยู่เป็นเวลาสามวัน

ในวันที่สี่ที่พระนิเวศของพระเจ้าของเรา เราชั่งเงิน ทองคำ และเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มอบให้ปุโรหิตเมเรโมทบุตรของอุรียาห์ และเอเลอาซาร์บุตรฟีเนหัส พร้อมกับคนเลวี ได้แก่โยซาบาดบุตรเยชูอาและโนอัดยาห์บุตรบินนุยก็อยู่ที่นั่นด้วย มีการตรวจรับทุกอย่างตามจำนวนและน้ำหนัก และจดน้ำหนักทั้งหมดไว้ในครั้งนั้น

แล้วเชลยที่กลับมาถวายเครื่องเผาบูชาแด่พระเจ้าแห่งอิสราเอลได้แก่ วัวผู้ 12 ตัวสำหรับอิสราเอลทั้งปวง แกะผู้ 96 ตัว และลูกแกะตัวผู้ 77 ตัว พร้อมทั้งแพะผู้ 12 ตัว เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ทั้งหมดนี้เป็นเครื่องเผาบูชาถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขายังมอบพระราชโองการของกษัตริย์แก่เสนาบดีและผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ที่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำยูเฟรติส พวกเขาจึงให้ความช่วยเหลือแก่ประชากรและแก่พระนิเวศของพระเจ้า

Read More of เอสรา 8

เอสรา 9:1-15

คำอธิษฐานของเอสราเรื่องการแต่งงานกับคนต่างชาติ

ภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้น เหล่าผู้นำมาแจ้งแก่ข้าพเจ้าว่า “ประชากรอิสราเอลรวมทั้งปุโรหิตและคนเลวีไม่ได้แยกตัวจากชนชาติเพื่อนบ้าน ซึ่งมีธรรมเนียมปฏิบัติอันน่าชิงชังแบบเดียวกับชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวเยบุส ชาวอัมโมน ชาวโมอับ ชาวอียิปต์ และชาวอาโมไรต์ พวกเขารับบุตรสาวของคนเหล่านั้นมาเป็นภรรยาและเป็นสะใภ้ ทำให้เผ่าพันธุ์บริสุทธิ์ปนเปกับชนชาติทั้งหลายโดยรอบ ทั้งพวกผู้นำและเจ้าหน้าที่ก็เป็นตัวการในเรื่องความไม่ซื่อสัตย์นี้”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนี้ก็ฉีกเสื้อผ้าทึ้งผมทึ้งหนวด และนั่งลงด้วยความตระหนกตกใจ แล้วทุกคนที่ยำเกรงพระดำรัสของพระเจ้าแห่งอิสราเอลจนตัวสั่นก็มานั่งล้อมรอบข้าพเจ้า เนื่องด้วยความไม่ซื่อสัตย์ของเหล่าเชลย ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจจวบจนเวลาถวายเครื่องเผาบูชายามเย็น

แล้วเมื่อถึงเวลาถวายเครื่องเผาบูชายามเย็น ข้าพเจ้าจึงลุกขึ้นจากการนั่งเป็นทุกข์ทั้งที่เสื้อผ้าขาดวิ่น คุกเข่าชูมือต่อพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพเจ้า และอธิษฐานว่า

“ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อดสูละอายใจเกินกว่าจะเงยหน้าขึ้นต่อพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายสูงท่วมศีรษะ และความผิดของเหล่าข้าพระองค์ขึ้นถึงฟ้าสวรรค์ นับแต่สมัยบรรพบุรุษจวบจนบัดนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความผิดใหญ่หลวง เพราะบาปของข้าพระองค์ทั้งหลายทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลายกับกษัตริย์และเหล่าปุโรหิตตกเป็นเหยื่อคมดาบ ตกเป็นเชลยถูกย่ำยีและถูกปล้นชิง ได้รับความอัปยศอดสูโดยน้ำมือของบรรดากษัตริย์ต่างชาติดังเช่นทุกวันนี้

“แต่บัดนี้ ในชั่วขณะหนึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทรงเมตตาให้มีชนหยิบมือที่เหลือ ทรงให้เหล่าข้าพระองค์มีที่มั่นคงในสถานนมัสการของพระองค์ และพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งปวงทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ชื่นตาชื่นใจ บรรเทาจากภาวะคับแค้นที่ตกเป็นทาส ถึงแม้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นทาส พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายก็ไม่ทิ้งเหล่าข้าพระองค์ไว้ให้ถูกจองจำ พระองค์ทรงเมตตากรุณาเหล่าข้าพระองค์ต่อหน้าบรรดากษัตริย์แห่งเปอร์เซีย พระองค์ประทานชีวิตใหม่แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเพื่อสร้างพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลายขึ้นใหม่ และซ่อมแซมส่วนที่ปรักหักพัง และประทานปราการป้องกันในยูดาห์และเยรูซาเล็ม

“ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ถึงขนาดนี้แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายจะกราบทูลว่าอะไรได้? เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายได้ละเลยพระบัญชา ซึ่งพระองค์ประทานไว้ผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘ดินแดนที่เจ้าจะเข้าครอบครองนั้นเสื่อมทรามไปเพราะมลทินบาปของชาวดินแดนนั้น พวกเขาทำให้ดินแดนแปดเปื้อนมลทินจากสุดเขตด้านหนึ่งจดอีกด้านหนึ่งโดยการประพฤติอันน่าชิงชัง ฉะนั้นอย่ายกบุตรสาวให้แต่งงานกับบุตรชายของเขา หรือรับบุตรสาวของเขามาเป็นสะใภ้ อย่าทำสัญญาผูกมิตรกับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เพื่อว่าเจ้าจะได้เข้มแข็งและอิ่มเอมกับความอุดมสมบูรณ์ของดินแดนและสืบทอดเป็นมรดกแก่ลูกหลานตลอดไป’

“สิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพระองค์ทั้งหลายนั้นก็เป็นผลจากการประพฤติชั่วและความผิดใหญ่หลวงของข้าพระองค์ทั้งหลาย ถึงกระนั้น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ก็ทรงกรุณาลงโทษข้าพระองค์ทั้งหลายน้อยกว่าที่ข้าพระองค์ทั้งหลายสมควรจะได้รับ และทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายมีคนหยิบมือหนึ่งที่เหลือนี้ ก็แล้วข้าพระองค์ทั้งหลายยังจะละเมิดพระบัญชาของพระองค์ และไปแต่งงานกับชนชาติที่ยึดถือธรรมเนียมปฏิบัติอันน่าชิงชังเช่นนั้นอีกหรือ? มีหรือที่พระองค์จะไม่ทรงพระพิโรธจนทำลายล้างข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ให้เหลือรอดแม้แต่คนหยิบมือเดียว? ข้าแต่พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล พระองค์ทรงชอบธรรมแล้ว! ทุกวันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเพียงคนหยิบมือที่เหลือ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความผิดต่อหน้าพระองค์ เพราะมลทินนี้ข้าพระองค์ไม่อาจยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ได้แม้สักคนเดียว”

Read More of เอสรา 9