เอเสเคียล 17:1-24, เอเสเคียล 18:1-32 TNCV

เอเสเคียล 17:1-24

นกอินทรีสองตัวและเถาองุ่น

พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า “บุตรมนุษย์เอ๋ย จงยกอุทาหรณ์และกล่าวคำอุปมาแก่พงศ์พันธุ์อิสราเอล จงกล่าวกับพวกเขาว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า นกอินทรีใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งมีปีกทรงพลัง และขนยาวดกหลากสีบินมายังเลบานอน มันเกาะที่ยอดต้นสนซีดาร์ต้นหนึ่ง มันจิกหน่อที่สูงที่สุด และคาบไปยังนครของพ่อค้าวาณิชทั้งหลาย แล้วปลูกหน่อนั้นลงในเมืองของพ่อค้า

“ ‘นกอินทรีนั้นคาบเมล็ดพืชจากดินแดนของเจ้าไปปลูกไว้ในดินที่อุดมสมบูรณ์ มันปลูกไว้เหมือนต้นหลิวที่อยู่ริมน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้นั้นก็งอกงามและกลายเป็นเถาองุ่นพุ่มเตี้ย มันแผ่กิ่งก้านเลื้อยไปทางนกอินทรี แต่รากของมันยังคงอยู่ข้างใต้ ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเถาองุ่นที่แผ่กิ่งก้านและใบดกหนา

“ ‘แต่มีนกอินทรีใหญ่อีกตัวหนึ่งบินมา มันมีปีกทรงพลังและมีขนดก เถาองุ่นก็ชอนรากจากจุดที่ขึ้นอยู่และแผ่ก้านมาหามันเพื่อให้มันรดน้ำให้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็งอกอยู่ในดินดีมีน้ำอุดมสมบูรณ์ พร้อมที่จะแผ่กิ่งก้านสาขา ออกผล และกลายเป็นเถาองุ่นชั้นเยี่ยมอยู่แล้ว’

“จงบอกพวกเขาเถิดว่า ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เถาองุ่นนั้นจะเจริญงอกงามได้หรือ? มันจะไม่ถูกถอนรากปลิดผลจนเหี่ยวแห้งไปหรือ? ใบอ่อนของมันจะเหี่ยวแห้งหมด ไม่ต้องใช้แขนที่แข็งแรงมากหรือคนหมู่ใหญ่ในการถอนรากเถาองุ่นนั้นขึ้นมา แม้มันถูกย้ายไปปลูก มันจะเจริญงอกงามได้หรือ? มันจะไม่เหี่ยวแห้งไปหมดสิ้นเมื่อถูกลมตะวันออกพัดกระหน่ำหรือ? มันจะไม่เหี่ยวแห้งคาที่ที่มันงอกขึ้นมาหรือ?’ ”

แล้วพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า “จงกล่าวแก่พงศ์พันธุ์ที่ชอบกบฏนี้ว่า ‘เจ้าไม่รู้หรือว่าสิ่งเหล่านี้หมายความว่าอะไร?’ จงบอกพวกเขาว่า ‘กษัตริย์บาบิโลนมายังเยรูซาเล็มและกวาดต้อนกษัตริย์และบรรดาขุนนางพากลับไปยังบาบิโลน แล้วพระองค์ทรงพาเจ้านายผู้หนึ่งมาและได้ทำสัญญากับเขา ให้เขาถวายสัตยาบันว่าจะจงรักภักดี แล้วพระองค์ก็ทรงนำคนระดับผู้นำของดินแดนนั้นไปด้วย เพื่ออาณาจักรนั้นจะตกต่ำลงและไม่สามารถรุ่งเรืองขึ้นมาได้อีก จะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อรักษาสัญญา แต่กษัตริย์นั้นก็กบฏต่อพระองค์โดยส่งทูตไปยังอียิปต์ ขอม้าและกองทัพใหญ่มาช่วย เขาจะทำการสำเร็จหรือ? ผู้ที่ทำเช่นนั้นจะหนีรอดไปได้หรือ? เขาละเมิดสัญญาแล้วยังจะหนีรอดไปได้หรือ?

“ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เขาจะตายในบาบิโลน ในดินแดนของกษัตริย์ผู้ที่ตั้งเขาขึ้นครองราชบัลลังก์ ผู้ที่เขาลบหลู่สัตยาบันและผิดสัญญาที่ให้ไว้ฉันนั้น ฟาโรห์พร้อมกับทัพหลวงอันเกรียงไกรและกำลังพลมากมายจะช่วยเขาไม่ได้ในสงคราม เมื่อเชิงเทินถูกสร้างขึ้นและเครื่องล้อมเมืองถูกตั้งขึ้นเพื่อทำลายชีวิตคนเป็นอันมาก เขาผิดสัตยาบันโดยละเมิดพันธสัญญา เพราะเขาถวายสัตยาบันแล้วยังทำเช่นนี้ เขาจะหนีไม่รอด

“ ‘ฉะนั้นพระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตจึงตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เราจะลงทัณฑ์เขาตามคำปฏิญาณของเราที่เขาลบหลู่ และตามพันธสัญญาของเราที่เขาละเมิดฉันนั้น เราจะกางตาข่ายของเราดักเขา และเขาจะติดอยู่ในกับดักของเรา เราจะนำเขาไปยังบาบิโลนและพิพากษาลงโทษเขาที่นั่น เพราะเขาไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา ทหารทั้งปวงของเขาที่หนีไปจะตายด้วยดาบและผู้รอดชีวิตอยู่จะถูกทำให้กระจัดกระจายไปตามลม เมื่อนั้นเจ้าจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้

“ ‘พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เราเองนี่แหละจะเอาหน่อจากยอดของสนซีดาร์ไปปลูกไว้ เราจะหักหน่ออ่อนจากยอดไปปลูกไว้บนภูเขาสูง เราจะปลูกมันไว้บนยอดเขาแห่งอิสราเอล มันจะแผ่กิ่งก้านสาขาและผลิผลกลายเป็นสนซีดาร์ชั้นเยี่ยม นกทุกชนิดจะมาสร้างรังและอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ของมัน ต้นไม้ทั้งปวงในท้องทุ่งจะรู้ว่าเราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้โค่นต้นไม้สูงลงและทำให้ต้นไม้เตี้ยสูงขึ้น ทำให้ต้นไม้เขียวเหี่ยวเฉา และให้ต้นไม้แห้งผลิงาม

“ ‘เราผู้เป็นพระยาห์เวห์ได้ลั่นวาจาไว้และเราจะทำเช่นนั้น’ ”

Read More of เอเสเคียล 17

เอเสเคียล 18:1-32

จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย

พระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงข้าพเจ้าว่า “พวกเจ้าหมายความว่าอะไรที่กล่าวภาษิตเกี่ยวกับดินแดนอิสราเอลว่า

“ ‘พ่อกินองุ่นเปรี้ยว

ลูกก็เข็ดฟัน’?

“พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสดังนี้ว่า เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด เจ้าจะไม่กล่าวภาษิตนี้ในอิสราเอลอีกต่อไปฉันนั้น เพราะจิตวิญญาณทุกดวงเป็นของเรา ทั้งของพ่อและของลูกล้วนเป็นของเรา จิตวิญญาณที่ทำบาปจะตาย

“สมมุติว่ามีคนชอบธรรมคนหนึ่ง

ซึ่งทำสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม

เขาไม่ได้รับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา

หรือพึ่งรูปเคารพทั้งหลายของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

เขาไม่ได้สร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน

หรือหลับนอนกับผู้หญิงที่อยู่ในช่วงมีประจำเดือน

เขาไม่ได้ข่มเหงรังแกผู้ใด

แต่คืนของประกันให้แก่ลูกหนี้

เขาไม่ได้ปล้นชิง

แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย

และให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ที่เปลือยกาย

เขาไม่ได้ให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ

หรือหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ18:8 หรือเอาดอกเบี้ยเช่นเดียวกับข้อ 13 และ 17

เขายั้งมือจากการทำความชั่ว

และเขาตัดสินเพื่อนมนุษย์อย่างยุติธรรม

เขาปฏิบัติตามกฎหมายของเรา

และรักษาบทบัญญัติของเราอย่างซื่อสัตย์

ผู้นั้นเป็นคนชอบธรรม

เขาจะดำรงชีวิตอยู่แน่นอน

พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

“สมมุติว่าชายคนนั้นมีบุตรชายเหี้ยมโหดซึ่งทำให้โลหิตตกหรือทำสิ่งต่อไปนี้18:10 หรือกระทำสิ่งต่อไปนี้กับพี่น้อง (แม้ว่าผู้เป็นบิดาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เลย)

“เขารับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา

เขาสร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน

เขาข่มเหงรังแกคนยากจนและคนขัดสน

เขาปล้นชิง

เขาไม่ยอมคืนของประกัน

เขาพึ่งรูปเคารพ

เขาทำสิ่งที่น่าชิงชัง

เขาให้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุและหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ

คนเช่นนั้นจะดำรงชีวิตอยู่ได้หรือ? ไม่เลย! เพราะเขาทำสิ่งน่าชิงชังทั้งปวงนี้ เขาจะต้องถูกประหารอย่างแน่นอน และที่เขาต้องตายนั้นก็เป็นความผิดของเขาเอง

“แต่หากชายคนนี้มีบุตรชายซึ่งเห็นบาปทั้งปวงที่บิดาทำ และแม้เห็นก็ไม่ได้ทำตาม

“เขาไม่ได้รับประทานอาหารที่สถานบูชาบนภูเขา

หรือพึ่งรูปเคารพทั้งหลายของพงศ์พันธุ์อิสราเอล

เขาไม่ได้สร้างราคีแก่ภรรยาของเพื่อนบ้าน

เขาไม่ได้ข่มเหงรังแกผู้ใด

หรือเรียกร้องของประกันในการกู้ยืม

เขาไม่ได้ปล้นชิง

แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหย

และให้เครื่องนุ่งห่มแก่ผู้ที่เปลือยกาย

เขายั้งมือจากบาป18:17 ภาษาฮีบรูว่าจากคนจน(ดู ข้อ 8)

และให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยสูงเกินเหตุ หรือหากำไรโดยการขูดเลือดขูดเนื้อ

เขารักษาบทบัญญัติและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของเรา

เขาจะไม่ตายเพราะบาปของบิดา เขาจะมีชีวิตอยู่แน่นอน ส่วนผู้เป็นบิดานั้นจะตายเพราะบาปของตน เนื่องจากเขาขู่กรรโชกทรัพย์ ปล้นชิงพี่น้อง และทำผิดในหมู่ประชากรของเขา

“กระนั้นเจ้าก็ยังถามว่า ‘ทำไมลูกไม่ต้องร่วมรับโทษความผิดของพ่อ?’ เมื่อลูกได้ทำสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงธรรม และได้ใส่ใจทำตามกฎเกณฑ์ของเราอย่างถี่ถ้วน เขาจะดำรงชีวิตอยู่อย่างแน่นอน ผู้ใดที่ทำบาป ผู้นั้นจะต้องตาย ลูกไม่ต้องร่วมรับโทษกับความผิดของพ่อ ทั้งพ่อก็ไม่ต้องร่วมรับโทษกับความผิดของลูก คนชอบธรรมจะได้รับผลแห่งความชอบธรรมของเขา และคนชั่วก็จะได้รับการกล่าวโทษจากความชั่วร้ายของเขา

“แต่หากคนชั่วหันหนีจากบาปทั้งปวงที่ตนทำ แล้วรักษากฎหมายทั้งสิ้นของเราและทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย ความผิดพลาดทั้งสิ้นที่เขาได้ทำลงไปจะไม่เป็นที่จดจำและไม่นำมาเป็นข้อกล่าวโทษเขา เขาจะมีชีวิตอยู่เพราะสิ่งชอบธรรมที่เขาได้ทำนั้น พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศว่า เราพึงพอใจในความตายของคนชั่วร้ายหรือ? เราไม่ยินดีมากกว่าหรือเมื่อเขาหันจากทางชั่วของตนและมีชีวิตอยู่?

“แต่หากคนชอบธรรมหันหนีจากความชอบธรรมของตนไปทำบาป และทำสิ่งที่น่าชิงชังเช่นเดียวกับคนชั่ว เขาจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ? ความชอบธรรมทั้งปวงที่เขาได้ทำจะไม่เป็นที่จดจำ เขาจะตายโทษฐานที่ไม่ซื่อสัตย์ และเพราะบาปทั้งหลายที่เขาได้ทำ

“ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังกล่าวว่า ‘วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? วิถีทางของเจ้าต่างหากไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม? หากคนชอบธรรมหันหนีจากความชอบธรรมของตนไปทำบาป เขาจะตาย เขาจะตายเพราะบาปที่เขาได้ทำลงไป แต่หากคนชั่วหันหนีจากความชั่วที่ทำไปแล้ว และกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม เขาจะช่วยชีวิตตนเองไว้ เพราะเขาใคร่ครวญ และหันหนีจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้นที่ทำไปแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย ถึงกระนั้นพงศ์พันธุ์อิสราเอลก็ยังกล่าวว่า ‘วิถีทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ยุติธรรม’ ประชากรอิสราเอลเอ๋ย วิถีทางของเราไม่ยุติธรรมหรือ? วิถีทางของเจ้าต่างหากไม่ใช่หรือที่ไม่ยุติธรรม?

“พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตตรัสว่า ฉะนั้นพงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เราจะตัดสินเจ้าแต่ละคนตามการกระทำของเจ้า จงกลับใจใหม่! หันหนีจากการล่วงละเมิดทั้งสิ้นของเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ต้องพินาศล่มจมเพราะบาป จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งสิ้นที่ทำลงไป และรับเอาจิตใจและวิญญาณใหม่เถิด พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย เจ้าจะตายทำไมเล่า? เพราะเราไม่ได้พึงพอใจในความตายของผู้หนึ่งผู้ใด จงกลับใจใหม่และมีชีวิตอยู่เถิด! พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิตประกาศดังนั้น

Read More of เอเสเคียล 18