التكوين 30 – NAV & TNCV

Ketab El Hayat

التكوين 30:1-43

1وَعِنْدَمَا تَبَيَّنَتْ رَاحِيلُ أَنَّهَا عَاقِرٌ، غَارَتْ مِنْ أُخْتِهَا، وَقَالَتْ لِيَعْقُوبَ: «هَبْ لِي بَنِينَ وَإلَّا فَإِنِّي أَمُوتُ».

2فَاحْتَدَمَ غَضَبُ يَعْقُوبَ عَلَى رَاحِيلَ وَقَالَ: «أَلَعَلِّي أَقُومُ مَقَامَ اللهِ الَّذِي حَرَمَكِ مِنَ الإِنْجَابِ؟» 3فَقَالَتْ لَهُ: «هَا هِيَ جَارِيَتِي بِلْهَةُ، عَاشِرْهَا فَتَلِدَ وَيَكُونَ لِي مِنْهَا بَنُونَ». 4وَأَعْطَتْهُ بِلْهَةَ زَوْجَةً فَدَخَلَ عَلَيْهَا يَعْقُوبُ. 5وَحَمَلَتْ بِلْهَةُ وَأَنْجَبَتْ لِيَعْقُوبَ ابْناً. 6فَقَالَتْ رَاحِيلُ: «قَدْ قَضَى اللهُ لِي وَأَصْغَى لِصَوْتِي وَرَزَقَنِي ابْناً». لِذَلِكَ دَعَتْهُ دَاناً (وَمَعْنَاهُ: قَاضٍ). 7ثُمَّ حَمَلَتْ بِلْهَةُ جَارِيَةُ رَاحِيلَ مَرَّةً أُخْرَى وَأَنْجَبَتْ لِيَعْقُوبَ ابْناً ثَانِياً، 8فَقَالَتْ رَاحِيلُ: «قَدْ تَصَارَعْتُ مَعَ أُخْتِي مُصَارَعَاتٍ عَنِيفَةً وَظَفِرْتُ». وَدَعَتْهُ نَفْتَالِي (وَمَعْنَاهُ: مُصَارَعَتِي).

9وَلَمَّا رَأَتْ لَيْئَةُ أَنَّهَا كَفَّتْ عَنِ الْوِلادَةِ، أَخَذَتْ جَارِيَتَهَا زِلْفَةَ وَأَعْطَتْهَا لِيَعْقُوبَ زَوْجَةً، 10فَأَنْجَبَتْ زِلْفَةُ جَارِيَةُ لَيْئَةَ لِيَعْقُوبَ ابْناً 11فَقَالَتْ لَيْئَةُ: «يَا لَحُسْنِ الْحَظِّ!» وَدَعَتْهُ جَاداً (وَمَعْنَاهُ: فَأْلٌ حَسَنٌ، أَوْ كَتِيبَةٌ قَادِمَةٌ). 12وَأَنْجَبَتْ زِلْفَةُ جَارِيَةُ لَيْئَةُ ابْناً ثَانِياً لِيَعْقُوبَ، 13فَقَالَتْ لَيْئَةُ: «يَا لَغِبْطَتِي، لأَنَّ النِّسَاءَ سَيَدْعُونَنِي الْمَغْبُوطَةَ». وَأَسْمَتْهُ أَشِيْرَ (وَمَعْنَاهُ: سَعِيدٌ أَوْ مَغْبُوطٌ).

14وَذَهَبَ رَأُوبَيْنُ فِي مَوْسِمِ حَصَادِ الْقَمْحِ إِلَى الْحَقْلِ، فَعَثَرَ فِيهِ عَلَى نَبَاتِ اللُّفَّاحِ وَجَاءَ بِهِ إِلَى أُمِّهِ لَيْئَةَ. فَقَالَتْ رَاحِيلُ لِلَيْئَةَ: «أَعْطِنِي مِنْ لُفَّاحِ ابْنِكِ». 15فَأَجَابَتْهَا: «أَلَمْ يَكْفِ أَنَّكِ أَخَذْتِ مِنِّي زَوْجِي، وَالآنَ تُرِيِدينَ أَنْ تَأْخُذِي لُفَّاحَ ابْنِي أَيْضاً؟» فَأَجَابَتْهَا رَاحِيلُ: «إِذاً يُعَاشِرُكِ اللَّيلَةَ لِقَاءَ لُفَّاحِ ابْنِكِ». 16وَعِنْدَمَا رَجَعَ يَعْقُوبُ مِنَ الْحَقَلِ فِي الْمَسَاءِ خَرَجَتْ لَيْئَةُ لِلِقَائِهِ وَقَالَتْ لَهُ: «إِلَيَّ تَجِيءُ اللَّيْلَةَ لأَنَّنِي قَدِ اسْتَأْجَرْتُكَ بِلُفَّاحِ ابْنِي». فَعَاشَرَهَا فِي تِلْكَ اللَّيْلَةِ. 17وَاسْتَجَابَ اللهُ لِلَيْئَةَ فَحَمَلَتْ وَأَنْجَبَتْ لِيَعْقُوبَ ابْناً خَامِساً. 18فَقَالَتْ لَيْئَةُ: «قَدْ أَعْطَانِي اللهُ أُجْرَتِي لأَنَّنِي وَهَبْتُ جَارِيَتِي لِزَوْجِي». وَدَعَتْهُ يَسَّاكَرَ (وَمَعْنَاهُ: يَعْمَلُ بِأُجْرَةٍ) 19وَحَبِلَتْ لَيْئَةُ مَرَّةً أُخْرَى فَأَنْجَبَتْ لِيَعْقُوبَ ابْناً سَادِساً. 20وَقَالَتْ لَيْئَةُ: «قَدَ وَهَبَنِي اللهُ هِبَةً ثَمِينَةً، وَالآنَ يُقِيمُ مَعِي زَوْجِي لأَنِّي أَنْجَبْتُ لَهُ سِتَّةَ بَنِينَ». وَدَعَتْهُ زَبُولُونَ (وَمَعْنَاهُ إِقَامَةُ). 21ثُمَّ أَنْجَبَتِ ابْنَةً دَعَتْهَا «دِينَةَ».

22وَذَكَرَ اللهُ رَاحِيلَ وَاسْتَجَابَ لَهَا وَفَتَحَ رَحِمَهَا، 23فَحَمَلَتْ وَأَنْجَبَتِ ابْناً وَقَالَتْ: «قَدَ نَزَعَ اللهُ عَنِّي عَارِي». 24وَدَعَتْهُ يُوسُفَ (وَمَعْنَاهُ يَزِيدُ) قَائِلَةً: «لِيَزِدْنِي الرَّبُّ ابْناً آخَرَ».

قطعان يعقوب تزداد

25وَعِنْدَمَا وَلَدَتْ رَاحِيلُ يُوسُفَ، قَالَ يَعْقُوبُ لِلابَانَ: «أَخْلِ سَبِيلِي فَأَنْطَلِقَ إِلَى بَلَدِي وَإِلَى أَرْضِي، 26وَأَعْطِنِي نِسَائِي وَأَوْلادِي الَّذِينَ خَدَمْتُكَ بِهِمْ، وَدَعْنِي أَمْضِي، فَأَنْتَ تُدْرِكُ أَيَّةَ خِدْمَةٍ خَدَمْتُكَ». 27فَقَالَ لَهُ لابَانُ: «إِنْ كُنْتُ قَدْ حَظِيتُ بِرِضَاكَ فَأَرْجُوكَ أَنْ تَمْكُثَ مَعِي، لأَنَّنِي عَرَفْتُ بِالتَّفَاؤُلِ بِالْغَيْبِ أَنَّ الرَّبَّ قَدْ بَارَكَنِي بِفَضْلِكَ». 28وَأَضَافَ: «عَيِّنْ لِي أُجْرَتَكَ فَأُعْطِيَكَ إِيَّاهَا». 29فَقَالَ لَهُ يَعْقُوبُ: «أَنْتَ تَعْلَمُ كَيْفَ خَدَمْتُكَ، وَمَاذَا آلَتْ إِلَيْهِ مَوَاشِيكَ تَحْتَ رِعَايَتِي، 30فَالْقَلِيلُ الَّذِي كَانَ لَكَ قَبْلَ مَجِيئِي ازْدَادَ أَضْعَافاً كَثِيرَةً، فَبَارَكَكَ الرَّبُّ مُنْذُ أَنْ قَدِمْتُ عَلَيْكَ، وَالآنَ مَتَى أَشْرَعُ فِي تَحْصِيلِ رِزْقِ عَائِلَتِي؟» 31فَسَأَلَهُ: «مَاذَا أُعْطِيكَ؟» فَأَجَابَهُ يَعْقُوبُ: «لا تُعْطِنِي شَيْئاً. وَلَكِنْ إِنْ أَرَدْتَ، فَاصْنَعْ لِي هَذَا الأَمْرَ الْوَاحِدَ فَأَذْهَبَ وَأَرْعَى غَنَمَكَ وَأَعْتَنِيَ بِها: 32دَعْنِي أَمُرُّ الْيَوْمَ بَيْنَ مَوَاشِيكَ كُلِّهَا، فَتَعْزِلَ مِنْهَا كُلَّ شَاةٍ رَقْطَاءَ وَبَلْقَاءَ وَسَوْدَاءَ مِنْ بَيْنِ الْخِرْفَانِ، وَكُلَّ بَلْقَاءَ وَرَقْطَاءَ بَيْنَ الْمِعْزَى، فَتَكُونُ هَذِهِ أُجْرَتِي. 33وَتَكُونُ أَمَانَتِي شَاهِدَةً عَلَى صِدْقِ خِدْمَتِي فِي مُسْتَقْبَلِ الأَيَّامِ. فَإِذَا جِئْتَ تَفْحَصُ أُجْرَتِي، وَوَجَدْتَ عِنْدِي مَا لَيْسَ أَرْقَطَ أَوْ أَبْلَقَ بَيْنَ الْمِعْزَى وَأَسْوَدَ بَيْنَ الْخِرْفَانِ، يَكُونُ مَسْرُوقاً عِنْدِي». 34فَقَالَ لابَانُ: «لِيَكُنْ وَفْقاً لِقَوْلِكَ». 35وَعَزَلَ لابَانُ فِي ذَلِكَ الْيَوْمِ التُّيُوسَ الْمُخَطَّطَةَ وَالْبَلْقَاءَ، وَكُلَّ عَنْزٍ رَقْطَاءَ وَبَلْقَاءَ، كُلَّ مَا فِيهِ بَيَاضٌ وَكُلَّ خَرُوفٍ أَسْوَدَ. وَعَهِدَ بِها إِلَى أَبْنَاءِ يَعْقُوبَ. 36وَجَعَلَ بَيْنَهُ وَبَيْنَ يَعْقُوبَ مَسَافَةَ ثَلاثَةِ أَيَّامٍ، وَاسْتَمَرَّ يَعْقُوبُ يَرْعَى مَوَاشِي لابَانَ.

37وَأَخَذَ يَعْقُوبُ قُضْبَاناً خَضْرَاءَ مِنْ أَشْجَارِ اللُّبْنَى وَاللَّوْزِ وَالدُّلْبِ وَقَلَّمَهَا بِخُطُوطٍ بَيْضَاءَ كَاشِفاً عَمَّا تَحْتَ الْقِشْرَةِ مِنْ بَيَاضٍ، 38وَنَصَبَ الْقُضْبَانَ الَّتِي قَلَّمَهَا تِجَاهَ الْغَنَمِ فِي أَجْرَانِ مَسَاقِي الْمَاءِ حَيْثُ تَرِدُ الْمَوَاشِي، فَتَتَوَحَّمُ عَلَيْهَا إِذَا مَا أَقْبَلَتْ لِتَشْرَبَ. 39فَكَانَتِ الْغَنَمُ تَتَوَحَّمُ عِنْدَ الْقُضْبَانِ، فَتَلِدُ غَنَماً مُخَطَّطَةً وَرَقْطَاءَ وَبَلْقَاءَ. 40وَفَرَزَ يَعْقُوبُ الْحُمْلانَ، وَجَعَلَ مُقَدِّمَةَ الْمَوَاشِي فِي مُوَاجَهَةِ كُلِّ مَا هُوَ مُخَطَّطٌ وَأَسْوَدُ مِنْ غَنَمِ لابَانَ، وَأَقَامَ لِنَفْسِهِ قُطْعَاناً عَلَى حِدَةٍ بِمَعْزِلٍ عَنْ غَنَمِ لابَانَ. 41فَكَانَ يَعْقُوبُ كُلَّمَا تَوَحَّمَتِ الْغَنَمُ الْقَوِيَّةُ يَنْصِبُ الْقُضْبَانَ أَمَامَ عُيُونِ الْمَوَاشِي فِي الأَجْرَانِ لِتَتَوَحَّمَ بَيْنَ الْقُضْبَانِ. 42وَحِينَ تَكُونُ الْغَنَمُ ضَعِيفَةً، لَا يَضَعُ الْقُضْبَانَ أَمَامَهَا، فَصَارَتِ الضَّعِيفَةُ لِلابَانَ وَالْقَوِيَّةُ لِيَعْقُوبَ. 43فَاغْتَنَى الرَّجُلُ جِدّاً، وَكَثُرَتْ مَوَاشِيهِ وَجَوَارِيهِ وَعَبِيدُهُ وَجِمَالُهُ وَحَمِيرُهُ.

Thai New Contemporary Bible

ปฐมกาล 30:1-43

1เมื่อราเชลเห็นว่าตนไม่มีบุตรให้ยาโคบก็อิจฉาพี่สาว ดังนั้นนางจึงกล่าวกับยาโคบว่า “จงให้ลูกแก่ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันตายดีกว่า!”

2ยาโคบจึงโกรธนางและพูดว่า “ฉันอยู่ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงไม่ให้เธอมีลูกหรือ?”

3นางจึงพูดว่า “นางบิลฮาห์สาวใช้ของฉันอยู่ที่นี่ จงหลับนอนกับนางเพื่อฉันจะได้รับลูกนางมาเป็นลูกฉัน และฉันเองก็จะสามารถสร้างครอบครัวขึ้นได้โดยอาศัยนาง”

4ดังนั้นนางจึงยกบิลฮาห์สาวใช้ของนางให้เป็นภรรยาของยาโคบ เขาก็หลับนอนกับบิลฮาห์ 5นางได้ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา 6แล้วราเชลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงตัดสินให้ฉันชนะ พระองค์ทรงสดับฟังคำวิงวอนของฉันและประทานลูกชายแก่ฉัน” เพราะเหตุนี้นางจึงตั้งชื่อเขาว่าดาน30:6 ในที่นี้แปลว่าพระองค์ทรงตัดสิน

7แล้วบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลก็ตั้งครรภ์อีกครั้งหนึ่งและคลอดบุตรชายคนที่สองให้แก่ยาโคบ 8แล้วราเชลกล่าวว่า “ฉันได้ต่อสู้กับพี่สาวอย่างหนักมาตลอดและฉันก็ชนะแล้ว” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่านัฟทาลี30:8 แปลว่าการต่อสู้ของฉัน

9เมื่อเลอาห์เห็นว่าตนไม่มีลูกอีก จึงยกศิลปาห์สาวใช้ของตนให้เป็นภรรยาของยาโคบ 10ศิลปาห์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งแก่ยาโคบ 11แล้วเลอาห์กล่าวว่า “โชคดีอะไรอย่างนี้!”30:11 หรือ“กองทหารกำลังมา! ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่ากาด30:11กาดแปลว่าโชคดีหรือกองทหารก็ได้

12แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็ให้กำเนิดบุตรชายคนที่สองแก่ยาโคบ 13แล้วเลอาห์กล่าวว่า “ฉันสุขใจจริงๆ! พวกผู้หญิงจะเรียกฉันว่าเป็นสุข” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าอาเชอร์30:13 แปลว่าเป็นสุข

14วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี รูเบนออกไปที่ทุ่งนาและพบต้นดูดาอิม30:14 เป็นพืชที่เชื่อกันว่ากินแล้วจะช่วยให้ตั้งท้องและเพิ่มความต้องการทางเพศ จึงนำมาให้เลอาห์ผู้เป็นมารดา ราเชลพูดกับเลอาห์ว่า “ขอดูดาอิมของลูกชายพี่ให้ฉันบ้างเถิด”

15แต่เลอาห์ตอบนางว่า “เจ้าเอาสามีของฉันไปยังไม่พออีกหรือ? แล้วยังจะมาเอาดูดาอิมของลูกฉันอีกหรือ?”

ราเชลกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ให้ยาโคบไปนอนกับพี่คืนนี้ได้ แลกกับดูดาอิมของลูกชายพี่”

16เย็นวันนั้นเมื่อยาโคบกลับมาจากทุ่งนา เลอาห์ก็ออกไปพบและพูดว่า “ท่านต้องมานอนกับฉัน เพราะฉันเอาดูดาอิมของลูกเป็นสินจ้างแล้ว” คืนวันนั้นยาโคบก็นอนกับนาง

17พระเจ้าทรงฟังเลอาห์ นางก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนที่ห้า 18แล้วเลอาห์กล่าวว่า “พระเจ้าประทานรางวัลให้ฉันเพราะฉันได้ยกสาวใช้ให้สามี” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าอิสสาคาร์30:18 คำว่าอิสสาคาร์มีเสียงคล้ายคำภาษาฮีบรูที่มีความหมายว่ารางวัล

19เลอาห์ได้ตั้งครรภ์อีกและคลอดบุตรชายคนที่หกให้แก่ยาโคบ 20แล้วเลอาห์กล่าวว่า “พระเจ้าประทานของขวัญล้ำค่าแก่ฉัน คราวนี้สามีจะยกย่องฉัน เพราะฉันคลอดลูกชายให้แก่เขาถึงหกคน” ดังนั้นนางจึงตั้งชื่อเขาว่าเศบูลุน30:20 คงจะมีความหมายว่าเกียรติ

21ต่อมาภายหลัง นางได้คลอดบุตรสาวคนหนึ่งและตั้งชื่อว่าดีนาห์

22แล้วพระเจ้าทรงระลึกถึงราเชล พระองค์ทรงฟังนางและให้นางมีบุตร 23นางตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง นางกล่าวว่า “พระเจ้าทรงลบล้างความอับอายของฉันแล้ว” 24นางตั้งชื่อเขาว่าโยเซฟ30:24 แปลว่าขอพระองค์ทรงเพิ่ม และกล่าวว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเพิ่มลูกชายให้ฉันอีกคนหนึ่ง”

ฝูงสัตว์ของยาโคบเพิ่มจำนวนขึ้น

25หลังจากราเชลให้กำเนิดโยเซฟ ยาโคบพูดกับลาบันว่า “อนุญาตให้ฉันไปตามทางของฉันเถิด เพื่อฉันจะได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอน 26จงมอบภรรยาและลูกๆ ทั้งหมดให้ฉันด้วย เพราะฉันได้รับใช้ท่านแลกกับพวกเขาแล้ว และฉันก็จะได้ไปตามทางของฉัน ท่านก็รู้ว่าฉันทำงานให้ท่านมากเพียงใด”

27แต่ลาบันกล่าวกับเขาว่า “หากท่านจะกรุณาเรา โปรดอยู่ต่อเถิด เรารู้จากคำทำนายว่า30:27 หรืออาจแปลได้ว่าเราได้ร่ำรวยขึ้นและองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรเราเพราะท่าน” 28เขายังกล่าวเสริมอีกว่า “ท่านจะเรียกค่าจ้างเท่าไรก็บอกมาเถิด เราจะจ่ายให้”

29ยาโคบกล่าวกับเขาว่า “ท่านก็รู้ว่าฉันได้รับใช้ท่านอย่างไร และฝูงแพะแกะในความดูแลของฉันได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีเพียงไร 30ที่ท่านมีอยู่เล็กน้อยก่อนที่ฉันจะมา เดี๋ยวนี้เพิ่มขึ้นมหาศาล และไม่ว่าฉันจะทำอะไร องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงอวยพรท่าน แต่เมื่อไรฉันจึงจะได้ทำอะไรเพื่อครัวเรือนของตนเองบ้าง?”

31ลาบันถามว่า “เราควรให้อะไรท่านดี?”

ยาโคบตอบว่า “ไม่ต้องให้อะไรฉันหรอก ฉันจะเลี้ยงและดูแลฝูงสัตว์ให้ท่านต่อไป ถ้าท่านจะตกลงกับฉันสักอย่างหนึ่ง 32คือในวันนี้ให้ฉันออกไปสำรวจฝูงสัตว์ของท่านดู แล้วแยกแกะที่มีลายด่าง ลูกแกะสีคล้ำ และแพะที่มีลายด่างทุกตัวออกจากฝูง สัตว์เหล่านี้ถือเป็นค่าจ้างของฉัน 33และนี่จะเป็นพยานถึงความซื่อสัตย์ของฉันในอนาคต คือทุกครั้งที่ท่านตรวจดูค่าจ้างที่จ่ายให้ฉัน หากพบว่าแพะตัวใดในกรรมสิทธิ์ของฉันไม่มีลายด่าง หรือลูกแกะตัวใดไม่มีสีคล้ำก็ให้ถือว่าฉันขโมยมา”

34ลาบันตอบว่า “ตกลง ให้เป็นตามที่เจ้าว่าไว้” 35ในวันนั้นเองลาบันก็ออกไปคัดแพะทั้งตัวผู้และตัวเมียทุกตัวที่มีลายด่างออกมา (ทุกตัวที่มีสีขาวอยู่ด้วย) ตลอดจนลูกแกะสีคล้ำทุกตัวออกจากฝูง แล้วนำไปให้บรรดาบุตรชายของเขาเลี้ยง 36แล้วเขาให้ฝูงแพะแกะของเขากับของยาโคบอยู่ห่างกันเป็นระยะเวลาเดินทางสามวัน ในขณะที่ยาโคบยังเลี้ยงฝูงสัตว์ที่เหลือให้ลาบันต่อไป

37อย่างไรก็ตามยาโคบเอากิ่งไม้สดๆ จากต้นปอปลาร์ ต้นอัลมอนด์ และต้นเปลนมาลอกเปลือกออกเป็นริ้วให้เห็นเนื้อไม้สีขาวข้างใน 38แล้วเขาวางกิ่งไม้ที่ลอกเปลือกไว้ที่รางน้ำทุกรางเพื่อให้อยู่ตรงหน้าฝูงแพะแกะเวลาที่มันมากินน้ำ ทุกครั้งที่ฝูงแพะแกะเป็นสัดและมากินน้ำ 39มันก็ผสมพันธุ์กันหน้ากิ่งไม้นั้น ลูกที่เกิดมาจึงมีลายริ้ว ลายด่าง หรือลายจุด 40ยาโคบก็แยกลูกสัตว์เหล่านั้นไว้ต่างหาก แล้วให้ฝูงสัตว์ที่เหลือหันไปทางสัตว์ที่มีลายด่างหรือสัตว์ที่มีสีคล้ำของลาบัน โดยวิธีนี้เองเขาจึงสร้างฝูงแพะแกะของตนเองขึ้นและไม่ได้รวมไว้กับฝูงสัตว์ของลาบัน 41เมื่อใดก็ตามที่บรรดาตัวเมียที่แข็งแรงเป็นสัด ยาโคบก็เอากิ่งไม้ที่ลอกเปลือกไปวางไว้ในรางน้ำตรงหน้าสัตว์นั้น ให้มันผสมพันธุ์กันใกล้กิ่งไม้นั้น 42แต่ถ้าสัตว์ตัวใดอ่อนแอ เขาก็ไม่เอากิ่งไม้ไปวางไว้ที่นั่น ดังนั้นสัตว์ที่อ่อนแอก็เป็นของลาบัน ส่วนตัวที่แข็งแรงเป็นของยาโคบ 43ด้วยวิธีนี้เอง เขาจึงร่ำรวยขึ้นอย่างมากและกลายเป็นเจ้าของสัตว์ฝูงใหญ่ มีคนรับใช้ชายหญิงจำนวนมาก และมีอูฐมีลาอีกมากมาย