ผู้วินิจฉัย 16:1-31, ผู้วินิจฉัย 17:1-13 TNCV

ผู้วินิจฉัย 16:1-31

แซมสันกับเดลิลาห์

วันหนึ่งแซมสันไปที่กาซาและพบหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่นั่น เขาจึงไปนอนกับนาง เมื่อชาวเมืองกาซาได้ยินว่า “แซมสันอยู่ที่นี่!” พวกเขาจึงล้อมที่แห่งนั้นไว้และซุ่มอยู่ที่ประตูเมืองตลอดคืน พวกเขาคบคิดกันเงียบๆ ว่า “พอฟ้าสาง เราจะฆ่าเขา”

แต่แซมสันนอนอยู่ที่นั่นจนถึงเที่ยงคืน แล้วลุกขึ้นออกไปที่ประตูเมือง ยกประตูเมืองขึ้นมา ดึงเสาประตูทั้งสองข้างพร้อมทั้งดาลประตูหลุดลอยจากพื้น แล้วแบกประตูไปจนถึงยอดเนินเขาที่หันหน้าไปทางเฮโบรน

ต่อมาแซมสันหลงรักสาวคนหนึ่งชื่อเดลิลาห์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่หุบเขาโสเรก เหล่าเจ้านายฟีลิสเตียไปพบหญิงนั้นและบอกนางว่า “เจ้าจงล้วงความลับของแซมสันว่ากำลังอันมหาศาลของเขามาจากไหน และทำอย่างไรพวกเราจึงจะสามารถปราบและจับกุมตัวเขาไว้ได้ แล้วพวกเราแต่ละคนจะให้เงินหนัก 1,100 เชเขล16:5 1 เชเขล คือเงินหนักประมาณ 11.5 กรัม มีค่าเท่ากับค่าแรงสองเดือนแก่เจ้า”

ดังนั้นเดลิลาห์จึงกล่าวกับแซมสันว่า “โปรดบอกความลับที่ทำให้ท่านมีพลังมหาศาลอย่างนี้ ทำอย่างไรจึงจะมัดและคุมตัวท่านไว้ได้”

แซมสันตอบว่า “ถ้าใช้สายธนูที่หนังยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมัดตัวข้า ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนคนอื่น”

ฉะนั้นเจ้านายฟีลิสเตียจึงเอาสายธนูที่หนังยังไม่แห้งเจ็ดเส้นมาให้เดลิลาห์ นางก็เอาสายธนูมัดแซมสัน เดลิลาห์ให้คนซุ่มอยู่ในอีกห้องหนึ่ง แล้วนางก็ร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แซมสันก็สะบัดสายธนูขาดอย่างง่ายดายเหมือนเชือกที่ถูกไฟลน ดังนั้นความลับของเขาเรื่องพละกำลังจึงยังไม่ถูกเปิดเผย

แล้วเดลิลาห์กล่าวกับแซมสันว่า “ท่านโกหกหลอกลวงฉัน โปรดบอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าจะจับท่านมัดไว้ได้อย่างไร”

แซมสันกล่าวว่า “ถ้าใช้เชือกใหม่ที่ไม่เคยใช้งานมาก่อนมัดข้าอย่างแน่นหนา ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น”

ฉะนั้นเดลิลาห์จึงเอาเชือกใหม่มามัดเขาไว้ แล้วให้คนซุ่มอยู่ในอีกห้องหนึ่งเหมือนครั้งก่อน เดลิลาห์ร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แต่แซมสันก็สะบัดเชือกออกจากแขนอย่างง่ายดายเหมือนเส้นด้าย

เดลิลาห์กล่าวว่า “จนถึงเดี๋ยวนี้ท่านยังโกหกหลอกลวงฉัน จงบอกมาว่าจะมัดท่านไว้ได้อย่างไร”

แซมสันตอบว่า “หากทอเส้นผมทั้งเจ็ดปอยของข้าเข้าไปในหูกทอผ้า แล้วกระทกด้วยฟืม ข้าก็จะอ่อนแอเหมือนชายอื่น” ฉะนั้นเมื่อแซมสันนอนหลับ เดลิลาห์ก็ทอผมทั้งเจ็ดปอยของเขาเข้าในหูก แล้วกระทกด้วยฟืม

นางร้องบอกเขาอีกครั้งว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับท่านแล้ว!” แซมสันก็ลุกขึ้นดึงผมออก ทำให้หูกทอผ้าเสียหาย

แล้วเดลิลาห์ตัดพ้อว่า “ท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘ข้ารักเจ้า’ ในเมื่อท่านไม่ไว้ใจฉันเลย? ท่านหลอกลวงฉันถึงสามครั้งแล้ว ยังไม่บอกความลับกับฉันเสียทีว่าอะไรทำให้ท่านมีเรี่ยวแรงมากถึงขนาดนี้” นางพิรี้พิไรกับแซมสันทุกวันจนเขาเหนื่อยหน่ายเหลือทน

เขาจึงบอกนางทุกอย่างว่า “ข้าไม่เคยตัดผมเลย เพราะข้าเป็นนาศีร์ถวายแด่พระเจ้าตั้งแต่เกิด ถ้าหากโกนผมทิ้ง เรี่ยวแรงกำลังของข้าก็จะหมดไป ข้าจะอ่อนแอเหมือนคนอื่นๆ”

เมื่อเดลิลาห์เห็นว่าเขาได้บอกความลับทั้งหมดแก่นางแล้ว จึงส่งข่าวไปถึงเหล่าเจ้านายฟีลิสเตียว่า “โปรดมาอีกสักครั้ง เพราะเขาบอกทุกสิ่งทุกอย่างแก่ฉันแล้ว” ดังนั้นพวกเจ้านายฟีลิสเตียจึงกลับมา พร้อมนำเงินติดตัวมาด้วย เดลิลาห์ให้แซมสันนอนหลับหนุนตักนาง แล้วให้คนมาโกนผมแซมสันหมดทั้งเจ็ดปอย ทำให้เรี่ยวแรงของแซมสันถดถอยลง แล้วกำลังของเขาก็หมดไป

แล้วนางร้องว่า “แซมสัน พวกฟีลิสเตียมาจับตัวท่านแล้ว!”

แซมสันก็ตื่นขึ้น และคิดว่า “เราจะสะบัดตัวหลุดรอดไปเหมือนครั้งก่อนๆ” แต่เขาไม่รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทิ้งเขาไปเสียแล้ว

จากนั้นชาวฟีลิสเตียจึงจับตัวแซมสัน ควักตาทั้งสองข้างของเขาออกและนำตัวเขาไปยังกาซา ล่ามเขาด้วยโซ่ทองสัมฤทธิ์และให้โม่ข้าวอยู่ในเรือนจำ แต่ไม่นานผมของแซมสันก็เริ่มยาวอีก

การตายของแซมสัน

ฝ่ายเจ้านายชาวฟีลิสเตียชุมนุมกันเพื่อถวายเครื่องบูชาครั้งใหญ่แด่พระดาโกนเทพเจ้าของพวกเขา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและกล่าวว่า “เทพเจ้าของเรามอบแซมสันศัตรูของเราไว้ในมือของเราแล้ว”

เมื่อประชาชนเห็นแซมสัน ก็ร้องสรรเสริญเทพเจ้าของตนว่า

“เทพเจ้าของเรามอบศัตรู

ไว้ในมือของเราแล้ว

คนนี้แหละที่ล้างผลาญแผ่นดินของเรา

และฆ่าพวกเราตายมากมาย”

ขณะที่พวกเขากำลังมึนเมา พวกเขาก็ตะโกนขึ้นว่า “เอาตัวแซมสันออกมาสร้างความบันเทิงให้พวกเราเถิด” แซมสันถูกนำตัวออกจากที่คุมขัง แล้วแสดงให้พวกเขาดู

ขณะที่แซมสันถูกนำมายืนอยู่ท่ามกลางหมู่เสา เขาบอกคนรับใช้ที่จูงมือตนมาว่า “พาเราไปตรงที่จะคลำพบเสารองรับวิหาร เพื่อเราจะได้พิงเสา” ขณะนั้นภายในวิหารคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนทั้งชายและหญิง เจ้านายฟีลิสเตียทั้งปวงก็อยู่ที่นั่นด้วย และบนดาดฟ้ามีชายหญิงประมาณสามพันคนเฝ้าดูแซมสันแสดงอยู่ แซมสันจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่พระยาห์เวห์องค์เจ้าชีวิต ขอทรงระลึกถึงข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าโปรดให้พละกำลังแก่ข้าพระองค์อีกครั้งเดียว เพื่อข้าพระองค์จะได้แก้แค้นชาวฟีลิสเตียชดเชยกับที่ต้องสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างไป” จากนั้นแซมสันก็ไปที่เสาสองต้นกลางวิหารซึ่งเป็นเสารองรับวิหาร มือขวายันเสาข้างหนึ่ง มือซ้ายยันเสาอีกข้างหนึ่ง แล้วรวบรวมกำลังดันเสา แซมสันกล่าวว่า “เราขอตายพร้อมพวกฟีลิสเตีย!” แล้วเขาก็ดันเสาสุดแรง วิหารพังครืนลงมาทับเจ้านายฟีลิสเตียและประชากรทั้งหมดในนั้น เป็นอันว่าขณะที่แซมสันกำลังจะตาย เขาได้ฆ่าชาวฟีลิสเตียมากยิ่งกว่าตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่

แล้วญาติพี่น้องและครอบครัวของบิดาแซมสันก็ลงมารับศพของเขากลับไป และฝังไว้ระหว่างโศราห์กับเอชทาโอลในอุโมงค์ฝังศพของมาโนอาห์ บิดาของแซมสัน แซมสันนำ16:31 หรือวินิจฉัยอิสราเอลอยู่ยี่สิบปี

Read More of ผู้วินิจฉัย 16

ผู้วินิจฉัย 17:1-13

เทวรูปของมีคาห์

ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม มีชายคนหนึ่งชื่อมีคาห์ เขากล่าวกับมารดาว่า “เงินหนัก 1,100 เชเขล17:2 1 เชเขล คือเงินหนักประมาณ 11.5 กรัม มีค่าเท่ากับค่าแรงสองเดือน เช่นเดียวกับข้อ 3,4 และ 10ที่แม่คิดว่าถูกขโมยไปและข้าพเจ้าได้ยินแม่สาปแช่งขโมยอยู่ ที่แท้ข้าพเจ้าเอาไปเอง”

มารดาก็ตอบว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอวยพรลูกเถิด!”

เมื่อเขาคืนเงินหนัก 1,100 เชเขลแก่มารดาของเขา นางกล่าวว่า “แม่จะเอาเงินนี้ไปถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับลูก แม่จะทำรูปสลักและหล่อรูปเคารพให้ลูก”

ดังนั้นเขาจึงคืนเงินให้แก่มารดาและนางนำเงินหนัก 200 เชเขล ไปให้ช่างเงินทำรูปเคารพขึ้นมาตั้งไว้ที่บ้านของมีคาห์

มีคาห์คนนี้มีหิ้งบูชา เขาทำเอโฟดและรูปเคารพต่างๆ และตั้งบุตรชายคนหนึ่งของตนให้เป็นปุโรหิต ในสมัยนั้นอิสราเอลไม่มีกษัตริย์ปกครองทุกคนต่างทำตามที่ตนเองเห็นดีเห็นชอบ

มีหนุ่มเลวีคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในเขตของตระกูลยูดาห์ มาจากเบธเลเฮมในยูดาห์ เขาจากที่นั่นมาเพื่อหาที่พักอาศัยแห่งใหม่ ระหว่างทาง17:8 หรือเพื่อมาประกอบอาชีพของเขาต่อไปเขามาถึงบ้านของมีคาห์ในแดนเทือกเขาแห่งเอฟราอิม

มีคาห์ถามเขาว่า “ท่านมาจากไหน?”

เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนเลวีมาจากเบธเลเฮมในแผ่นดินยูดาห์ กำลังหาที่พักอาศัย”

มีคาห์จึงกล่าวว่า “มาอยู่กับข้าพเจ้าเถิด มาเป็นบิดาและเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้เงินท่านปีละ 10 เชเขลพร้อมทั้งเสื้อผ้าและอาหาร” ดังนั้นหนุ่มเลวีจึงตกลงอยู่กับเขา เขาเป็นเหมือนบุตรชายคนหนึ่งของมีคาห์ จากนั้นมีคาห์แต่งตั้งชายหนุ่มเลวีผู้นั้นให้เป็นปุโรหิตอาศัยอยู่ในบ้านของเขา และมีคาห์กล่าวว่า “บัดนี้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดีต่อข้าพเจ้า เพราะว่าชาวเลวีคนนี้มาเป็นปุโรหิตของข้าพเจ้า”

Read More of ผู้วินิจฉัย 17