1พงศ์กษัตริย์ 22 – TNCV & PCB

Thai New Contemporary Bible

1พงศ์กษัตริย์ 22:1-53

มีคายาห์พยากรณ์เกี่ยวกับอาหับ

(2พศด.18:1-27)

1สงครามระหว่างอารัมกับอิสราเอลว่างเว้นไปสามปี 2แต่ในปีที่สามกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์เสด็จมาเยือนกษัตริย์อิสราเอล 3กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับข้าราชบริพารว่า “พวกเจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าราโมทกิเลอาดเป็นของเรา แต่เราก็ไม่ทำอะไรเพื่อชิงคืนจากกษัตริย์อารัมเลย?”

4อาหับจึงตรัสถามเยโฮชาฟัทว่า “ท่านจะช่วยข้าพเจ้ารบกับราโมทกิเลอาดไหม?”

เยโฮชาฟัทตรัสตอบกษัตริย์อิสราเอลว่า “เราสองคนเป็นพวกเดียวกัน คนของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นคนของท่าน ม้าของข้าพเจ้าก็เหมือนเป็นม้าของท่าน” 5แต่เยโฮชาฟัทตรัสกับกษัตริย์อิสราเอลอีกว่า “เราควรทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าก่อน”

6กษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกผู้เผยพระวจนะราวสี่ร้อยคนมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาด หรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

เขาเหล่านั้นทูลว่า “ไปเลยพระเจ้าข้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบดินแดนนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

7แต่เยโฮชาฟัทตรัสถามว่า “ที่นี่ไม่มีผู้เผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ถามเลยหรือ?”

8กษัตริย์อิสราเอลตรัสตอบเยโฮชาฟัทว่า “ยังมีอยู่คนหนึ่งซึ่งเราจะทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านทางเขาได้ แต่ข้าพเจ้าเกลียดเขา เพราะเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายๆ เขาคือมีคายาห์บุตรอิมลาห์”

เยโฮชาฟัทตรัสว่า “พระองค์อย่าตรัสเช่นนั้นเลย”

9ดังนั้นกษัตริย์อิสราเอลจึงทรงเรียกมหาดเล็กคนหนึ่งมาและสั่งว่า “จงนำตัวมีคายาห์บุตรอิมลาห์มาเดี๋ยวนี้”

10ทั้งกษัตริย์อิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ทรงฉลองพระองค์เต็มยศประทับอยู่บนพระที่นั่งในลานนวดข้าวใกล้ประตูเมืองสะมาเรีย ในขณะที่กลุ่มผู้เผยพระวจนะก็กล่าวพยากรณ์ไปต่อหน้า 11ฝ่ายเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์ได้ทำเขาเหล็กขึ้นมาและประกาศว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าจะขวิดพวกอารัมด้วยเขาเหล็กนี้จนพวกเขาย่อยยับไป’ ”

12ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ทั้งหมดก็กำลังพยากรณ์อย่างเดียวกันว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

13คนที่ไปตามตัวมีคายาห์ได้กล่าวกับเขาว่า “ดูเถิด ผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ ล้วนแต่ทำนายเป็นเสียงเดียวกันว่ากษัตริย์จะชนะ ขอให้ท่านกล่าวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกับพวกเขา”

14แต่มีคายาห์กล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะพูดแต่สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสฉันนั้น”

15เมื่อเขามาถึง กษัตริย์ตรัสถามว่า “มีคายาห์เอ๋ย เราควรจะไปรบกับราโมทกิเลอาดหรือเราควรจะยับยั้งไว้?”

มีคายาห์ทูลว่า “จงบุกเข้าโจมตีราโมทกิเลอาดและมีชัยชนะเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบเมืองนั้นไว้ในพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท”

16กษัตริย์ตรัสว่า “เราจะต้องให้เจ้าสาบานกี่ครั้งกี่หนว่าจะบอกแต่ความจริงแก่เราในพระนามพระยาห์เวห์?”

17มีคายาห์จึงทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าเห็นอิสราเอลทั้งปวงกระจัดกระจายไปตามภูเขาต่างๆ เหมือนแกะที่ไม่มีคนเลี้ยง และองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘คนเหล่านี้ไม่มีนาย ให้ทุกคนกลับบ้านโดยสวัสดิภาพเถิด’ ”

18กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าเขาไม่เคยพยากรณ์เรื่องดีๆ เกี่ยวกับข้าพเจ้าเลย มีแต่เรื่องร้ายทั้งนั้น?”

19มีคายาห์กล่าวต่อไปว่า “ฉะนั้นจงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับบนพระที่นั่งของพระองค์ ทูตสวรรค์ทั้งปวงยืนเฝ้าอยู่รอบพระองค์ทั้งซ้ายและขวา 20แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า ‘ใครจะหลอกล่ออาหับให้ไปโจมตีราโมทกิเลอาดและตายที่นั่น?’

“มีผู้ทูลเสนอต่างๆ นานา 21ในที่สุดมีวิญญาณดวงหนึ่งก้าวออกมายืนต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าและกราบทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะหลอกล่อเขา’

22องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามว่า ‘ทำอย่างไร?’

“วิญญาณนั้นทูลว่า ‘ข้าพระองค์จะไปเป็นวิญญาณมุสาในปากของผู้เผยพระวจนะทุกคนของอาหับ’

“พระองค์จึงตรัสว่า ‘เจ้าจะหลอกล่อเขาสำเร็จ ไปทำตามนั้นเถิด’

23“ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงใส่วิญญาณมุสาในปากผู้เผยพระวจนะเหล่านี้ของฝ่าพระบาท องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีประกาศิตให้ฝ่าพระบาทถึงแก่หายนะแล้ว”

24แล้วเศเดคียาห์บุตรเคนาอะนาห์จึงเข้ามาตบหน้ามีคายาห์และถามว่า “พระวิญญาณจาก22:24 หรือพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าออกจากข้าไปพูดกับเจ้าได้อย่างไร?”

25มีคายาห์ตอบว่า “ท่านจะรู้คำตอบในวันที่ท่านไปหลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นใน”

26กษัตริย์อิสราเอลจึงตรัสสั่งว่า “จงคุมตัวมีคายาห์กลับไปหาอาโมนผู้ว่าการของเมืองนี้และโยอาชบุตรของเรา 27บอกสองคนนั้นว่า ‘กษัตริย์ตรัสดังนี้ว่า จงขังชายผู้นี้ไว้ในคุก ให้แต่ขนมปังกับน้ำประทังชีวิตจนกว่าเราจะกลับมาอย่างปลอดภัย’ ”

28มีคายาห์ประกาศว่า “หากฝ่าพระบาทกลับมาอย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ตรัสผ่านทางข้าพเจ้า” แล้วเขากล่าวอีกว่า “ทุกคนจงจำคำพูดของข้าพเจ้าไว้!”

อาหับถูกสังหารที่ราโมทกิเลอาด

(2พศด.18:28-34)

29ดังนั้นกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอลและกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์จึงเสด็จไปยังราโมทกิเลอาด 30กษัตริย์อิสราเอลตรัสกับเยโฮชาฟัทว่า “ข้าพเจ้าจะปลอมตัวไปออกรบ ส่วนท่านแต่งเครื่องทรงกษัตริย์ของท่านเถิด” แล้วกษัตริย์อิสราเอลก็ทรงปลอมพระองค์และเสด็จออกรบ

31ฝ่ายกษัตริย์อารัมได้ทรงบัญชาผู้บัญชาการรถรบ 32 คนของพระองค์ว่า “อย่าต่อสู้กับใคร ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้น้อย แต่จงต่อสู้กับกษัตริย์อิสราเอลเพียงองค์เดียวเท่านั้น” 32เมื่อผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นเยโฮชาฟัท พวกเขาก็คิดว่า “นี่เป็นกษัตริย์อิสราเอลแน่ๆ” จึงหันมาโจมตี แต่เมื่อเยโฮชาฟัทร้องตะโกนออกมา 33ผู้บัญชาการรถรบเหล่านั้นเห็นว่าไม่ใช่กษัตริย์อิสราเอล ก็เลิกไล่ล่าพระองค์

34แต่มีคนหนึ่งยิงธนูสุ่มไปถูกกษัตริย์อิสราเอลตรงช่วงรอยต่อของเสื้อเกราะ พระองค์จึงตรัสกับพลขับว่า “จงกลับรถพาเราออกจากสนามรบ เราบาดเจ็บแล้ว” 35สงครามดำเนินไปอย่างดุเดือดตลอดทั้งวัน กษัตริย์ทรงประคองตัวไว้ในรถม้าศึกให้ประจันหน้ากับชาวอารัม พระโลหิตจากบาดแผลไหลนองพื้นรถ ครั้นตกเย็นก็สิ้นพระชนม์ 36ขณะที่ดวงอาทิตย์กำลังลับไป มีเสียงร้องบอกไปทั่วกองทัพว่า “ทุกคนกลับบ้านเมืองของตนเถิด!”

37ดังนั้นกษัตริย์อาหับก็สิ้นพระชนม์ และพระศพถูกนำกลับมาฝังไว้ที่สะมาเรีย 38เมื่อพวกเขาล้างรถม้าศึกที่สระในสะมาเรีย (ซึ่งพวกหญิงโสเภณีมาอาบน้ำ) สุนัขก็มาเลียพระโลหิตของกษัตริย์ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้แล้ว

39เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลของอาหับ พระราชกิจทุกอย่าง พระราชวังที่ทรงสร้างและตกแต่งด้วยงาช้าง และเมืองต่างๆ ที่ทรงเสริมปราการ มีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งอิสราเอลไม่ใช่หรือ? 40อาหับทรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและอาหัสยาห์โอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์

(2พศด.20:31—21:1)

41เยโฮชาฟัทโอรสของอาสาขึ้นครองราชย์ในยูดาห์ ตรงกับปีที่สี่ของรัชกาลกษัตริย์อาหับแห่งอิสราเอล 42เยโฮชาฟัทมีพระชนมายุ 35 พรรษาเมื่อขึ้นครองราชย์ และทรงปกครองในกรุงเยรูซาเล็มอยู่ 25 ปี ราชมารดาคืออาซูบาห์ธิดาของชิลหิ 43เยโฮชาฟัททรงดำเนินตามแบบอย่างของอาสาราชบิดาทุกประการโดยไม่หันเห ทรงทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ไม่ได้ทรงทำลายสถานบูชาบนที่สูงทั้งหลาย ประชากรจึงยังคงถวายเครื่องบูชาและเผาเครื่องหอมที่นั่น 44เยโฮชาฟัทได้ทรงมีสัมพันธไมตรีกับกษัตริย์อิสราเอลด้วย

45เหตุการณ์อื่นๆ ในรัชกาลเยโฮชาฟัท พระราชกิจและวีรกรรมในการสงครามมีบันทึกไว้ในจดหมายเหตุกษัตริย์แห่งยูดาห์ไม่ใช่หรือ? 46เยโฮชาฟัททรงกำจัดโสเภณีชายในเทวสถานซึ่งยังหลงเหลืออยู่จากสมัยของอาสาราชบิดาให้หมดไปจากแผ่นดิน 47ในสมัยนั้นเอโดมไม่มีกษัตริย์ปกครอง มีแต่ผู้สำเร็จราชการ

48เยโฮชาฟัททรงสร้างกองเรือพาณิชย์22:48 หรือกองเรือทารชิช เพื่อไปขนทองคำจากเมืองโอฟีร์ แต่เรือเหล่านั้นไม่ได้ไป เพราะอับปางลงที่เอซีโอนเกเบอร์ 49ครั้งนั้นอาหัสยาห์โอรสของอาหับกล่าวกับเยโฮชาฟัทว่า “ขอให้คนของเราแล่นเรือไปกับคนของท่าน” แต่เยโฮชาฟัททรงปฏิเสธ

50แล้วเยโฮชาฟัททรงล่วงลับไปอยู่กับบรรพบุรุษและถูกฝังไว้ด้วยกันในเมืองดาวิด และเยโฮรัมโอรสของพระองค์ขึ้นครองราชย์แทน

กษัตริย์อาหัสยาห์แห่งอิสราเอล

51อาหัสยาห์โอรสของอาหับขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์อิสราเอลในสะมาเรียตรงกับปีที่สิบเจ็ดของรัชกาลกษัตริย์เยโฮชาฟัทแห่งยูดาห์ ทรงปกครองอิสราเอลอยู่สองปี 52อาหัสยาห์ทรงทำสิ่งที่ชั่วในสายพระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะทรงดำเนินตามวิถีทางของราชบิดากับราชมารดา และตามวิถีทางของเยโรโบอัมบุตรเนบัทผู้ได้ชักนำอิสราเอลให้ทำบาป 53พระองค์ทรงปรนนิบัตินมัสการพระบาอัล และยั่วยุพระพิโรธของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอลเหมือนที่ราชบิดาได้ทรงทำ

Persian Contemporary Bible

اول پادشاهان 22:1-53

ميكايای نبی عليه اخاب پيشگويی می‌كند

(دوم تواريخ 18‏:2‏-27)

1در آن زمان، ميان سوريه و اسرائيل سه سال تمام صلح برقرار بود. 2اما در سال سوم، يهوشافاط، پادشاه يهودا به ديدار اخاب، پادشاه اسرائيل رفت. 3اخاب به درباريان خود گفت: «ما تا به حال برای پس گرفتن شهر راموت جلعاد از دست سوری‌ها غافل مانده‌ايم. اين شهر به ما تعلق دارد.»

4آنگاه اخاب از يهوشافاط خواست كه در حمله به راموت جلعاد به او كمک كند.

يهوشافاط گفت: «هر چه دارم مال توست. قوم من قوم توست. همهٔ سوارانم در خدمت تو می‌باشند. 5ولی بگذار اول با خداوند مشورت كنيم.»

6پس اخاب پادشاه، چهارصد نفر از انبيا را احضار كرد و از ايشان پرسيد: «آيا برای تسخير راموت جلعاد به جنگ بروم يا نه؟»

همهٔ آنها يكصدا گفتند: «برو، چون خداوند به تو پيروزی خواهد بخشيد.»

7آنگاه يهوشافاط پرسيد: «آيا غير از اينها نبی ديگری در اينجا نيست تا نظر خداوند را به ما بگويد؟»

8اخاب جواب داد: «چرا، يكنفر به اسم ميكايا پسر يمله هست، كه من از او نفرت دارم، چون هميشه برای من چيزهای بد پيشگويی می‌كند.»

يهوشافاط گفت: «اينطور سخن نگوييد!»

9پس اخاب پادشاه يكی از افراد دربار خود را صدا زد و به او گفت: «برو و ميكايا را هر چه زودتر به اينجا بياور.»

10در اين هنگام هر دو پادشاه در ميدان خرمنگاه، نزديک دروازهٔ شهر سامره با لباسهای شاهانه بر تختهای سلطنتی خود نشسته بودند و تمام انبيا در حضور ايشان پيشگويی می‌كردند. 11يكی از اين انبيا به نام صدقيا، پسر كنعنه، كه شاخهای آهنين برای خود درست كرده بود گفت: «خداوند می‌فرمايد كه شما با اين شاخها، سوريها را تار و مار خواهيد كرد!» 12ساير انبيا هم با او همصدا شده، گفتند: «به راموت جلعاد حمله كن، چون خداوند به تو پيروزی خواهد بخشيد.»

13قاصدی كه به دنبال ميكايا رفته بود، به او گفت: «تمام انبيا پيشگويی می‌كنند كه پادشاه پيروز خواهد شد؛ پس تو نيز چنين پيشگويی كن.»

14ولی ميكايا به او گفت: «به خداوند زنده قسم، هر چه خداوند بفرمايد، همان را خواهم گفت!»

15وقتی ميكايا به حضور پادشاه رسيد، اخاب از او پرسيد: «ای ميكايا، آيا ما به راموت جلعاد حمله كنيم يا نه؟»

ميكايا جواب داد: «البته! چرا حمله نكنی! خداوند تو را پيروز خواهد كرد!»

16پادشاه به او گفت: «چند بار به تو بگويم هر چه خداوند می‌گويد، همان را به من بگو؟»

17آنگاه ميكايا به او گفت: «تمام قوم اسرائيل را ديدم كه مثل گوسفندان بی‌شبان، روی تپه‌ها سرگردانند. خداوند فرمود: اينها صاحب ندارند. به ايشان بگو كه به خانه‌های خود برگردند.»

18اخاب به يهوشافاط گفت: «به تو نگفتم؟ من هرگز حرف خوب از زبان اين مرد نشنيده‌ام!»

19بعد ميكايا گفت: «به اين پيغام خداوند نيز گوش بده! خداوند را ديدم كه بر تخت خود نشسته بود و فرشتگان در حضور او ايستاده بودند. 20آنگاه خداوند فرمود: چه كسی می‌تواند اخاب را فريب دهد تا به راموت جلعاد حمله كند و همانجا كشته شود؟ هر يک از فرشتگان نظری دادند. 21سرانجام روحی جلو آمد و به خداوند گفت: من اين كار را می‌كنم! 22خداوند پرسيد: چگونه؟ روح گفت: من حرفهای دروغ در دهان انبيا می‌گذارم و اخاب را گمراه می‌كنم. خداوند فرمود: تو می‌توانی او را فريب دهی، پس برو و چنين كن.»

23سپس ميكايای نبی گفت: «خداوند روح گمراه كننده در دهان انبيای تو گذاشته است تا به تو دروغ بگويند ولی حقيقت امر اين است كه خداوند می‌خواهد تو را به مصيبت گرفتار سازد.»

24در همين موقع صدقيا پسر كنعنه، جلو رفت و سيلی محكمی به صورت ميكايا زد و گفت: «روح خداوند كی مرا ترک كرد تا به سوی تو آيد و با تو سخن گويد.»

25ميكايا به او گفت: «آن روز كه در اتاقت مخفی شوی، جواب اين سؤال را خواهی يافت!»

26آنگاه اخاب پادشاه گفت: «ميكايا را بگيريد و پيش آمون، فرماندار شهر و يوآش پسرم ببريد. 27از قول من به ايشان بگوييد كه ميكايا را به زندان بيندازند و جز آب و نان چيزی به او ندهند تا من پيروز بازگردم.»

28ميكايا به او گفت: «اگر تو زنده بازگشتی، معلوم می‌شود من هر چه به تو گفتم، از جانب خداوند نبوده است.» بعد رو به حاضران كرد و گفت: «همهٔ شما شاهد باشيد كه من به پادشاه چه گفتم.»

مرگ اخاب

(دوم تواريخ 18‏:28‏-34)

29با وجود اين هشدارها، اخاب، پادشاه اسرائيل و يهوشافاط، پادشاه يهودا به راموت جلعاد لشكركشی كردند. 30اخاب به يهوشافاط گفت: «تو لباس شاهانهٔ خود را بپوش، ولی من لباس ديگری می‌پوشم تا كسی مرا نشناسد.» پس اخاب با لباس مبدل به ميدان جنگ رفت.

31پادشاه سوريه به فرماندهان سی و دو عرابهٔ خود دستور داده بود كه به ديگران زياد توجه نكنند بلكه فقط با خود اخاب بجنگند. 32‏-33پس وقتی آنها يهوشافاط را در لباس شاهانه ديدند گمان كردند كه او همان اخاب، پادشاه اسرائيل است و برگشتند تا به او حمله كنند. اما وقتی يهوشافاط فرياد زد، آنها فهميدند كه او اخاب نيست بنابراين از او دور شدند. 34اما تير يكی از سربازان به طور تصادفی از ميان شكاف زرهٔ اخاب، به او اصابت كرد. اخاب به عرابه‌ران خود گفت: «مجروح شده‌ام. عرابه را برگردان و مرا از ميدان بيرون ببر.»

35جنگ به اوج شدت خود رسيده بود و اخاب نيمه جان به كمک عرابه‌ران خود رو به سوری‌ها در عرابهٔ خود ايستاده بود و خون از زخم او به كف عرابه می‌ريخت تا سرانجام هنگام غروب جان سپرد. 36‏-37آنگاه ندا در داده، گفتند: «ای سربازان اسرائيلی به وطن خود برگرديد. پادشاه مرده است!» پس جنازهٔ اخاب را به شهر سامره بردند و در آنجا به خاک سپردند. 38وقتی عرابه و اسلحهٔ او را در بركهٔ سامره می‌شستند، سگها آمدند و خون او را ليسيدند، درست همانطور كه خداوند فرموده بود.

39شرح بقيهٔ رويدادهای سلطنت اخاب و بنای قصر عاج و شهرهايی كه ساخت در كتاب «تاريخ پادشاهان اسرائيل» نوشته شده است. 40به اين ترتيب اخاب مرد و پسرش اخزيا به جای او در اسرائيل به سلطنت رسيد.

يهوشافاط، پادشاه يهودا

(دوم تواريخ 20‏:31 تا 21‏:1)

41يهوشافاط پسر آسا در سال چهارم سلطنت اخاب، پادشاه يهودا شد. 42يهوشافاط در سن سی و پنج سالگی بر تخت نشست و بيست و پنج سال در اورشليم سلطنت كرد. مادرش عزوبه نام داشت و دختر شلحی بود. 43او هم مثل پدر خود آسا مطابق ميل خداوند عمل می‌كرد، به‌جز در يک مورد و آن اينكه بتخانه‌های روی تپه‌ها را از بين نبرد. پس بنی‌اسرائيل همچنان در آنجا قربانی می‌كردند و بخور می‌سوزاندند. 44از اين گذشته يهوشافاط با اخاب، پادشاه اسرائيل صلح كرد. 45شرح بقيهٔ رويدادهای سلطنت يهوشافاط و جنگها و فتوحات او در كتاب «تاريخ پادشاهان يهودا» نوشته شده است.

46او همچنين لواط‌ان بتخانه‌ها را كه از زمان پدرش آسا هنوز باقی مانده بودند، تمام از بين برد.

47در آن زمان در ادوم پادشاهی نبود، بلكه فرمانداری كه از طرف يهوشافاط معين می‌شد در آنجا حكمرانی می‌كرد.

48يهوشافاط كشتی‌های بزرگ ساخت تا برای آوردن طلا به اوفير بروند. ولی اين كشتيها هرگز به مقصد نرسيدند، چون همهٔ آنها در عصيون جابر شكسته شدند. 49آنگاه اخزيای پادشاه، پسر اخاب به يهوشافاط پيشنهاد كرد تا ملاحان او در كشتيها با كاركنان يهوشافاط همكاری كنند، ولی يهوشافاط قبول نكرد.

50وقتی يهوشافاط مرد، او را در آرامگاه سلطنتی در اورشليم، شهر جدش داوود، دفن كردند و پسر او يهورام به جای او به سلطنت رسيد.

اخزيا، پادشاه اسرائيل

51در سال هفدهم سلطنت يهوشافاط پادشاه يهودا، اخزيا پسر اخاب در سامره پادشاه اسرائيل شد و دو سال سلطنت كرد. 52ولی او نيز مثل يربعام و پدر و مادر خود نسبت به خداوند گناه ورزيد و بنی‌اسرائيل را به گناه كشاند. 53او مانند پدرش به عبادت بت بعل پرداخت و به اين وسيله خداوند، خدای اسرائيل را خشمگين نمود.