ลูกา 7 – TNCV & NCA

Thai New Contemporary Bible

ลูกา 7:1-50

ความเชื่อของนายร้อย

(มธ.8:5-13)

1เมื่อพระเยซูตรัสทั้งหมดนี้ให้ประชาชนฟังจนจบแล้ว พระองค์ก็เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม 2ที่นั่นมีคนรับใช้ของนายร้อยคนหนึ่งป่วยหนักใกล้จะตาย นายร้อยรักคนรับใช้ผู้นั้นมาก 3เมื่อได้ยินเรื่องของพระเยซูแล้ว เขาก็ส่งผู้อาวุโสชาวยิวบางคนมาทูลเชิญพระเยซูไปรักษาคนรับใช้ของเขา 4เมื่อคนเหล่านั้นมาถึงก็ทูลอ้อนวอนพระเยซูด้วยความร้อนใจว่า “นายร้อยผู้นี้เป็นคนที่พระองค์ทรงสมควรจะไปช่วยอย่างยิ่ง 5เพราะเขารักชนชาติของเราและสร้างธรรมศาลาให้เรา” 6ดังนั้นพระเยซูจึงเสด็จไปกับพวกเขา

เมื่อพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงบ้านนั้น นายร้อยก็ให้เพื่อนๆ มาทูลพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า อย่าลำบากพระองค์เลยเพราะข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ 7เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์จึงคิดว่าตนเองไม่คู่ควรแม้แต่จะมาเข้าเฝ้าพระองค์ เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้นคนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย 8เพราะข้าพระองค์เองมีทั้งผู้บังคับบัญชาและมีทหารใต้บังคับบัญชา ข้าพระองค์สั่งคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งคนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพระองค์สั่งคนรับใช้ว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ”

9เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนี้ก็ทรงประหลาดใจในตัวเขา แล้วหันมาตรัสกับฝูงชนที่ติดตามพระองค์ว่า “เราบอกท่านว่าเราไม่เคยพบความเชื่อที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้แม้แต่ในอิสราเอล” 10แล้วคนเหล่านั้นที่นายร้อยส่งมาก็กลับไปบ้านและพบว่าคนรับใช้นั้นหายดีแล้ว

พระเยซูทรงให้บุตรชายของหญิงม่ายเป็นขึ้นจากตาย

(1พกษ.17:17-24; 2พกษ.4:32-37; มก.5:21-24,35-43; ยน.11:1-44)

11หลังจากนั้นไม่นานพระเยซูเสด็จเข้าไปในเมืองนาอิน เหล่าสาวกและประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์ไป 12เมื่อพระองค์เสด็จมาเกือบถึงประตูเมือง มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เขาเป็นลูกชายคนเดียวของหญิงม่าย ชาวเมืองมากมายมากับหญิงนั้น 13เมื่อพระองค์ทรงเห็นนางก็ทรงสงสารนางยิ่งนักและตรัสว่า “อย่าร้องไห้เลย”

14แล้วพระองค์เสด็จเข้าไปแตะโลงศพ คนหามก็ยืนนิ่ง พระองค์ตรัสว่า “พ่อหนุ่ม เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด!” 15ผู้ตายก็ลุกขึ้นนั่งและเริ่มพูดจา พระเยซูจึงทรงมอบเขาคืนให้มารดา

16คนทั้งปวงเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและสรรเสริญพระเจ้าว่า “ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่มาปรากฏในหมู่เรา พระเจ้าเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์แล้ว” 17กิตติศัพท์เรื่องนี้ของพระเยซูก็เลื่องลือไปทั่วแคว้นยูเดีย7:17 หรือดินแดนของชาวยิวและดินแดนโดยรอบ

พระเยซูกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา

(มธ.11:2-19)

18พวกสาวกของยอห์นมาเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านั้น ยอห์นจึงเรียกศิษย์สองคนมา 19และส่งเขาไปทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?”

20เมื่อคนทั้งสองมาถึงก็ทูลพระองค์ว่า “ยอห์นผู้ให้บัพติศมาส่งพวกข้าพเจ้ามาทูลถามท่านว่า ‘ท่านคือผู้ที่จะมานั้นหรือเราจะต้องคอยผู้อื่น?’ ”

21ในขณะนั้นพระเยซูทรงรักษาคนเจ็บคนป่วยหลายคนให้หายจากโรคและจากวิญญาณชั่ว และทรงทำให้คนตาบอดหลายคนมองเห็นได้ 22ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า “จงกลับไปรายงานสิ่งที่ท่านได้เห็นได้ยินแก่ยอห์น คือคนตาบอดมองเห็นได้ คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อน7:22 คำภาษากรีกอาจหมายถึงโรคผิวหนังต่างๆ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคเรื้อนเท่านั้นหายจากโรค คนหูหนวกกลับได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และข่าวประเสริฐได้ประกาศแก่คนยากไร้ 23คนที่ไม่สูญเสียความเชื่อไปเพราะเราก็เป็นสุข”

24เมื่อศิษย์ของยอห์นไปแล้ว พระเยซูจึงเริ่มตรัสกับประชาชนเกี่ยวกับยอห์นว่า “พวกท่านออกไปดูอะไรในถิ่นกันดาร? ดูต้นอ้อลู่ตามลมหรือ? 25หากไม่ใช่ ท่านออกไปดูอะไร? ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้อดีหรือ? ไม่ใช่เลย เพราะบรรดาผู้ที่สวมเสื้อผ้าราคาแพงและชอบฟุ้งเฟ้อย่อมอยู่ในวัง 26แต่ท่านออกไปดูอะไร? ผู้เผยพระวจนะหรือ? ใช่แล้ว เราบอกพวกท่านว่าชายผู้นี้เป็นยิ่งกว่าผู้เผยพระวจนะเสียอีก 27ยอห์นนี่แหละคือผู้ที่มีเขียนถึงไว้ว่า

“ ‘ดูเถิด เราจะส่งทูตของเรามาก่อนท่าน

เพื่อเตรียมทางไว้ให้ท่านล่วงหน้า’7:27 มลค. 3:1

28เราบอกท่านว่าในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงไม่มีคนไหนยิ่งใหญ่กว่ายอห์น กระนั้นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น”

29(คนทั้งปวงแม้แต่คนเก็บภาษีเมื่อได้ยินคำตรัสของพระเยซูก็รับว่าทางของพระเจ้าถูกต้อง เพราะพวกเขาได้รับบัพติศมาจากยอห์นแล้ว 30แต่พวกฟาริสีและผู้เชี่ยวชาญในบทบัญญัติไม่ยอมรับพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ได้รับบัพติศมาจากยอห์น)

31“แล้วเราจะเปรียบคนในยุคนี้กับอะไรดี? พวกเขาเป็นเช่นไร? 32เขาเป็นเหมือนเด็กๆ ที่นั่งอยู่กลางตลาดและร้องบอกกันและกันว่า

“ ‘เราเป่าปี่ให้

พวกเธอก็ไม่เต้นรำ

เราร้องเพลงไว้อาลัย

พวกเธอก็ไม่ร้องไห้’

33เพราะยอห์นผู้ให้บัพติศมาไม่กินขนมปังและไม่ดื่มเหล้าองุ่น พวกท่านก็กล่าวว่า ‘เขามีผีสิง’ 34ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่มและพวกท่านก็กล่าวว่า ‘นี่คือคนตะกละและขี้เมา เป็นมิตรของคนเก็บภาษีและ “คนบาป” ’ 35แต่พระปัญญาก็ผ่านการพิสูจน์แล้วว่าถูกต้องโดยคนทั้งปวงที่ปฏิบัติตามพระปัญญานั้น7:35 หรือลูกหลานทั้งปวงแห่งพระปัญญานั้น

พระเยซูทรงรับการชโลมจากหญิงชั่ว

(มธ.18:23-34; 26:6-13; มก.14:3-9; ยน.12:1-8)

36ฟาริสีคนหนึ่งเชิญพระเยซูไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ พระองค์จึงเสด็จไปที่บ้านของเขาและทรงนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ 37หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่วเมื่อรู้ว่าพระเยซูกำลังเสวยพระกระยาหารที่บ้านฟาริสีคนนั้น ก็นำขวดน้ำมันหอมเข้ามา 38และมายืนอยู่ข้างหลังพระองค์ที่พระบาท นางร่ำไห้หลั่งน้ำตารดพระบาทแล้วเอาผมเช็ด จูบพระบาท และรินน้ำมันหอมชโลมพระบาทของพระองค์

39เมื่อฟาริสีที่เชิญพระเยซูเห็นเช่นนั้นก็นึกในใจว่า “หากคนนี้เป็นผู้เผยพระวจนะ เขาก็น่าจะรู้ว่าผู้ที่มาแตะต้องเขาเป็นใครและเป็นผู้หญิงประเภทไหนเพราะนางเป็นคนบาป”

40พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ซีโมน เรามีอะไรจะบอกท่าน”

เขาทูลว่า “ท่านอาจารย์ ว่าไปเถิด”

41พระองค์ตรัสว่า “คนปล่อยเงินกู้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองราย รายหนึ่งเป็นหนี้ห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน7:41 1 เดนาริอันมีค่าเท่ากับค่าแรง 1 วัน อีกรายหนึ่งเป็นหนี้ห้าสิบเหรียญ 42ทั้งสองคนไม่มีเงินใช้หนี้ เขาจึงยกหนี้ให้ทั้งคู่ ในสองคนนี้คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่ากัน?”

43ซีโมนทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่ได้รับการยกหนี้มากกว่า”

พระเยซูตรัสว่า “ท่านตัดสินถูกแล้ว”

44แล้วพระองค์ทรงหันไปทางหญิงนั้นและตรัสกับซีโมนว่า “ท่านเห็นหญิงคนนี้หรือไม่ เราเข้ามาในบ้านของท่าน ท่านไม่ได้เอาน้ำมาให้เราล้างเท้า ส่วนนางเอาน้ำตาล้างเท้าของเราและเช็ดด้วยผมของนาง 45ท่านไม่ได้จูบเรา แต่หญิงนี้จูบเท้าเราไม่หยุดตั้งแต่เราเข้ามาในบ้าน 46ท่านไม่ได้รินน้ำมันรดศีรษะของเรา แต่นางรินน้ำมันหอมรดเท้าของเรา 47เหตุฉะนั้นเราบอกท่านว่าบาปมากมายของนางได้รับการอภัยแล้วตามที่ได้เห็นจากความรักมากมายของนาง แต่ผู้ที่ได้รับการอภัยน้อยก็รักน้อย”

48แล้วพระเยซูตรัสกับนางว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”

49แขกรับเชิญคนอื่นๆ เริ่มพูดกันว่า “ผู้นี้เป็นใครหนอจึงให้อภัยบาปได้?”

50พระเยซูตรัสกับหญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้ารอด จงไปเป็นสุขเถิด”

New Chhattisgarhi Translation (नवां नियम छत्तीसगढ़ी)

लूका 7:1-50

सेना के अधिकारी के बिसवास

(मत्ती 8:5-13)

1जब यीसू ह मनखेमन ला ए जम्मो बात कह चुकिस, तब ओह कफरनहूम सहर म गीस। 2उहां सेना के अधिकारी के एक सेवक ह बेमारी ले मरइयाच रहय। ओ सेवक ला सेना के अधिकारी ह बहुंत मया करय। 3सेना के अधिकारी ह यीसू के बारे म सुनिस अऊ यहूदीमन के कुछू अगुवामन ला ओकर करा ए बिनती के संग पठोईस कि ओह आके ओकर सेवक ला बेमारी ले चंगा करय। 4जब ओमन यीसू करा आईन, त बहुंत बिनती करके ओकर ले कहिन, “ओ अधिकारी ह एकर काबिल अय कि तेंह ओकर बर एला कर, 5काबरकि ओह हमर यहूदी मनखेमन ले मया करथे अऊ हमर सभा घर ला बनवाय हवय।”

6एकरसेति यीसू ह ओमन के संग गीस। पर जब यीसू ह ओकर घर के लकठा म हबरेच रिहिस, तभे सेना के अधिकारी ह अपन संगवारीमन के हांथ म ओकर करा ए खबर पठोईस, “हे परभू, अपन-आप ला तकलीफ झन दे, काबरकि मेंह एकर काबिल नो हंव कि तेंह मोर घर म आ। 7एकरे कारन मेंह अपन-आप ला ए काबिल नइं समझेंव कि तोर करा आवंव। पर सिरिप अपन मुहूं ले कहि दे, त मोर सेवक ह चंगा हो जाही। 8काबरकि मेंह खुद हाकिम के अधीन म हवंव अऊ सैनिकमन मोर अधीन म हवंय। मेंह एक झन ला कहिथंव, ‘जा’, त ओह जाथे अऊ दूसर ला कहिथंव, ‘आ’, त ओह आथे। मेंह अपन सेवक ला कहिथंव, ‘एला कर, त ओला करथे।’ ”

9जब यीसू ह ए बात ला सुनिस, त ओह अचम्भो करिस, अऊ अपन पाछू-पाछू आवत भीड़ कोति मुहूं करके कहिस, “मेंह तुमन ला कहत हंव, इसरायल म घलो मेंह अइसने बड़े बिसवास नइं पाएंव।” 10तब जऊन मनखेमन ला पठोय गे रिहिस, ओमन घर लहुंटिन अऊ देखिन कि सेवक ह बने हो गे रहय।

यीसू ह बिधवा के मरे बेटा ला जियाथे

11एकर बाद, यीसू ह नाइन नांव के एक सहर म गीस, अऊ ओकर संग ओकर चेलामन अऊ एक बड़े भीड़ घलो गीस। 12जब यीसू ह सहर म जाय के दुवारी करा हबरिस, त देखिस कि मनखेमन एक मुरदा ला बाहिर ले जावत रहंय। ओह अपन दाई के एके झन बेटा रिहिस, अऊ ओकर दाई ह बिधवा रिहिस। सहर के मनखेमन के एक बड़े भीड़ ओ बिधवा के संग रिहिस। 13जब परभू ह ओला देखिस, त ओला ओकर ऊपर अब्‍बड़ दया आईस अऊ ओह ओला कहिस, “झन रो।”

14तब यीसू ह आके अरथी ला छुईस, अऊ अरथी ला कंधा देवइयामन ठाढ़ हो गीन। यीसू ह कहिस, “हे जवान! मेंह तोला कहत हंव, उठ।” 15मरे मनखे ह उठ बईठिस अऊ गोठियाय लगिस, अऊ यीसू ह ओला ओकर दाई ला दे दीस।

16ओ जम्मो झन ऊपर डर छा गे, अऊ ओमन परमेसर के महिमा करके कहिन, “हमर बीच म एक महान अगमजानी ह परगट होय हवय। परमेसर ह अपन मनखेमन के मदद करे बर आय हवय।” 17यीसू के बारे म ए समाचार जम्मो यहूदिया प्रदेस अऊ आस-पास के इलाका म फइल गीस।

यीसू अऊ यूहन्ना बतिसमा देवइया

(मत्ती 11:2-19)

18यूहन्ना बतिसमा देवइया के चेलामन ओला ए जम्मो बात बताईन। 19तब यूहन्ना बतिसमा देवइया अपन चेलामन के दू झन ला बलाईस अऊ ओमन ला परभू करा ए पुछे बर पठोईस, “का तेंह ओही अस, जऊन ह अवइया रिहिस या फेर हमन कोनो आने के बाट जोहन?”

20जब ओ मनखेमन यीसू करा आईन, त ओमन कहिन, “यूहन्ना बतिसमा देवइया ह हमन ला तोर करा ए पुछे बर पठोय हवय, ‘का तेंह ओही अस, जऊन ह अवइया रिहिस या फेर हमन कोनो आने के बाट जोहन?’ ”

21ओही बेरा यीसू ह बहुंत मनखेमन ला बेमारी, पीरा अऊ परेत आतमामन ले बने करिस अऊ कतको अंधरामन ला आंखी दीस। 22तब यीसू ह यूहन्ना के मनखेमन ला कहिस, “जऊन कुछू तुमन देखे अऊ सुने हवव, जाके यूहन्ना ला बतावव। अंधरामन देखथें, खोरवामन चलथें, कोढ़ीमन ठीक हो जाथें, भैंरामन सुनथें, मुरदामन जीयाय जाथें, अऊ गरीब मनखेमन ला सुघर संदेस के परचार करे जाथे। 23धइन ए ओ, जेकर बिसवास ह मोर ऊपर बने रहिथे।”

24यूहन्ना के संदेसियामन के जाय के बाद, यीसू ह मनखेमन ला यूहन्ना के बारे म बताय लगिस, “जब तुमन निरजन प्रदेस म यूहन्ना करा गे रहेव, त का देखे बर गे रहेव? का हवा म डोलत एक बड़े घांस के पौधा ला? 25यदि नइं, त फेर तुमन का देखे बर गे रहेव? का सुघर कपड़ा पहिरे एक मनखे ला? देखव, जऊन मन महंगा कपड़ा पहिरथें अऊ भोग-बिलास म जिनगी बिताथें, ओमन महल म रहिथें। 26पर तुमन का देखे बर गे रहेव? एक अगमजानी ला? हव! मेंह तुमन ला कहत हंव – तुमन एक अगमजानी ले घलो बड़े मनखे ला देखेव। 27एह ओ अय, जेकर बारे म परमेसर के बचन म लिखे हवय:

‘देख, मेंह अपन संदेसिया ला तोर आघू पठोवत हंव,

जऊन ह तोर आघू तोर रसता तियार करही।’7:27 मलाकी 3:1

28मेंह तुमन ला बतावत हंव, जऊन मन माईलोगनमन ले जनमे हवंय, ओमन म यूहन्ना ले बड़े कोनो नो हंय; पर जऊन ह परमेसर के राज म सबले छोटे अय, ओह यूहन्ना ले घलो बड़े अय।”

29(जम्मो मनखेमन, इहां तक कि लगान लेवइयामन घलो जब यीसू के बात ला सुनिन, त ओमन यूहन्ना ले बतिसमा लेके परमेसर के रसता ला सही मान लीन। 30पर फरीसी अऊ कानून के जानकारमन परमेसर के मनसा ला अपन बर स्वीकार नइं करिन, काबरकि ओमन यूहन्ना के बतिसमा नइं लीन।)

31यीसू ह फेर कहिस, “तब मेंह ए पीढ़ी के मनखेमन के तुलना काकर ले करंव? एमन काकर सहीं अंय? 32एमन ओ लइकामन सहीं अंय, जऊन मन हाट-बजार म बईठके एक-दूसर ला कहिथें,

‘हमन तुम्‍हर बर बांसुरी बजाएन,

अऊ तुमन नइं नाचेव;

हमन बिलाप करेन,

अऊ तुमन नइं रोएव।’

33यूहन्ना बतिसमा देवइया ह आईस, जऊन ह न रोटी खाथे अऊ न ही मंद पीथे, अऊ तुमन कहिथव, ‘ओम परेत आतमा हवय।’ 34मनखे के बेटा ह आईस, जऊन ह खाथे अऊ पीथे, अऊ तुमन कहिथव, ‘देखव, ओह पेटहा अऊ पियक्‍कड़ अय, अऊ लगान लेवइया अऊ पापी मन के संगवारी अय।’ 35पर परमेसर के बुद्धि ह ओकर जम्मो लइकामन के दुवारा सही ठहराय गे हवय।”

एक पापिन माईलोगन के दुवारा यीसू के अभिसेक

36एक फरीसी मनखे यीसू ला अपन संग खाना खाय बर बलाईस। यीसू ह ओ फरीसी के घर म गीस अऊ खाना खाय बर बईठिस। 37ओ सहर के एक माईलोगन ला, जऊन ह पापमय जिनगी बिताय रिहिस, ए पता चलिस कि यीसू ह ओ फरीसी के घर म खाना खावत हे, त ओह एक संगमरमर के बरतन म इतर तेल लेके आईस, 38अऊ ओह यीसू के पाछू ओकर गोड़ करा रोवत ठाढ़ हो गीस अऊ अपन आंसू ले ओकर गोड़मन ला भिगोय लगिस अऊ ओह अपन मुड़ के चुंदी ले ओमन ला पोंछिस अऊ ओकर गोड़मन ला चूमिस अऊ ओम इतर तेल ला ढारिस।

39एला देखके, ओ फरीसी जऊन ह यीसू ला खाय बर बलाय रिहिस, अपन मन म कहिस, “कहूं ए मनखे ह अगमजानी होतिस, त जान लेतिस कि ओला कोन छुवत हवय अऊ ओह का किसम के माईलोगन ए। ओह तो एक पापिन अय।”

40तब यीसू ह ओला जबाब देवत कहिस, “हे सिमोन, मोला तोर ले कुछू कहना हे।”

ओह कहिस, “हे गुरू, कह।”

41यीसू ह कहिस, “दू झन मनखे एक महाजन के कर्जा लगत रिहिन। एक झन ओकर पांच सौ दीनार लगत रिहिस अऊ दूसर झन पचास दीनार7:41 एक दीनार ह एक चांदी के सिक्‍का रहय अऊ एकर कीमत एक दिन के बनी के बरोबर होवय।42ओ दूनों म के काकरो करा कर्जा पटाय बर पईसा नइं रिहिस, त महाजन ह ओ दूनों के कर्जा ला माफ कर दीस। तब ओ दूनों म ले कोन ह महाजन ले जादा मया करही?”

43सिमोन ह जबाब दीस, “मोर समझ म ओह, जेकर जादा कर्जा माफ करे गीस।”

यीसू ह कहिस, “तेंह सही कहय।”

44तब यीसू ह ओ माईलोगन कोति अपन मुहूं ला करके सिमोन ला कहिस, “का तेंह ए माईलोगन ला देखत हस? मेंह तोर घर म आएंव, अऊ तेंह मोर गोड़ धोय बर पानी नइं देय, पर ए माईलोगन ह अपन आंसू ले मोर गोड़मन ला भिगोईस अऊ अपन चुंदी ले ओमन ला पोंछिस। 45तेंह मोला नइं चूमे, पर जब ले मेंह इहां आय हवंव, तब ले एह मोर गोड़ ला चूमत हवय। 46तेंह मोर मुड़ म चुपरे बर कोनो तेल नइं देय, पर एह मोर गोड़मन म इतर तेल चुपरे हवय। 47एकरसेति मेंह तोला कहत हंव, ओकर बहुंत पाप छेमा करे गे हवय; ए बात ह ओकर बहुंत मया ले साबित होवत हे। पर जेकर थोरकन छेमा करे गीस, ओह थोरकन मया करथे।”

48तब यीसू ह ओ माईलोगन ले कहिस, “तोर पाप छेमा हो गीस।”

49तब जऊन मन यीसू के संग खाय बर बईठे रिहिन, ओमन अपन बीच म कहे लगिन, “एह कोन ए, जऊन ह पाप ला घलो छेमा करथे।”

50यीसू ह ओ माईलोगन ले कहिस, “तोर बिसवास ह तोर उद्धार करे हवय, सांति म जा।”