ยอห์น 6 – TNCV & NCA

Thai New Contemporary Bible

ยอห์น 6:1-71

พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันคน

(มธ.14:13-21; มก.6:32-44; ลก.9:10-17)

1ต่อมาพระเยซูทรงข้ามทะเลกาลิลี (คือทะเลทิเบเรียส) ไปยังอีกฟากหนึ่ง 2ประชาชนกลุ่มใหญ่ติดตามพระองค์ไปเพราะพวกเขาเห็นหมายสำคัญที่ได้ทรงกระทำแก่คนป่วย 3แล้วพระเยซูทรงขึ้นไปบนเนินเขาและประทับนั่งกับเหล่าสาวกของพระองค์ 4ขณะนั้นใกล้ถึงเทศกาลปัสกาของชาวยิวแล้ว

5เมื่อพระเยซูทรงมองไปเห็นคนหมู่ใหญ่มาหาพระองค์ก็ตรัสกับฟีลิปว่า “เราจะไปซื้อหาอาหารที่ไหนมาให้คนเหล่านี้รับประทาน?” 6พระองค์ตรัสถามเช่นนี้เพียงเพื่อทดสอบฟีลิป เพราะพระองค์ทรงดำริไว้แล้วว่าจะทำอะไร

7ฟีลิปทูลตอบพระองค์ว่า “เงินค่าแรงแปดเดือน6:7 ภาษากรีกว่าสองร้อยเดนาริอันยังซื้อขนมปังได้ไม่พอให้คนเหล่านี้กินกันคนละคำ!”

8สาวกอีกคนหนึ่งคืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรทูลขึ้นว่า 9“เด็กคนหนึ่งที่นี่มีขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนกับปลาเล็กๆ สองตัว แต่จะพออะไรกับคนมากมายขนาดนี้?”

10พระเยซูตรัสว่า “ให้ประชาชนนั่งลง” ที่นั่นมีหญ้ามาก พวกผู้ชายจึงนั่งลง พวกเขามีราวห้าพันคน 11แล้วพระเยซูทรงรับขนมปังมา ขอบพระคุณพระเจ้า และแจกจ่ายให้ผู้ที่นั่งอยู่ได้กินกันมากเท่าที่เขาต้องการ พระองค์ทรงหยิบปลามาทำเช่นเดียวกัน

12เมื่อทุกคนอิ่มแล้ว พระองค์ตรัสสั่งเหล่าสาวกว่า “จงเก็บรวบรวมเศษที่เหลือ อย่าให้เสียของ” 13พวกเขาจึงเก็บเศษที่เหลือจากขนมปังข้าวบาร์เลย์ห้าก้อนได้เต็มสิบสองตะกร้า

14หลังจากประชาชนเห็นหมายสำคัญที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ก็เริ่มพูดกันว่า “นี่คือผู้เผยพระวจนะนั้นที่จะเข้ามาในโลกอย่างแน่นอน” 15พระเยซูทรงทราบว่าพวกเขาตั้งใจจะมาใช้กำลังบังคับให้พระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ จึงเสด็จเลี่ยงขึ้นไปบนภูเขาแต่ลำพังอีก

พระเยซูทรงดำเนินบนน้ำ

(มธ.14:22-33; มก.6:47-51)

16พอพลบค่ำเหล่าสาวกของพระองค์มาที่ทะเลสาบ 17แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม ขณะนั้นมืดแล้วและพระเยซูยังไม่ได้เสด็จไปสมทบกับพวกเขา 18ทะเลปั่นป่วนเพราะลมพัดจัด 19พวกเขาตีกรรเชียงไปได้ประมาณ 5 หรือ 6 กิโลเมตร6:19 ภาษากรีกว่า25 หรือ 30 ซทาดิออน ก็เห็นพระเยซูทรงดำเนินบนน้ำเข้ามาหาเรือ พวกเขาจึงตกใจกลัว 20แต่พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “นี่เราเอง อย่ากลัวเลย” 21แล้วพวกเขาจึงเต็มใจรับพระองค์ขึ้นเรือ และทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่กำลังมุ่งหน้าไป

22วันรุ่งขึ้นประชาชนที่อยู่อีกฟากเห็นว่าก่อนหน้านั้นที่นั่นมีเรืออยู่ลำเดียว และพระเยซูก็ไม่ได้ลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าสาวก พวกสาวกไปกันเองตามลำพัง 23มีเรือลำอื่นๆ จากทิเบเรียสมาจอดใกล้ๆ ที่ซึ่งประชาชนได้กินขนมปังหลังจากพระเยซูได้ทรงขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 24เมื่อพวกเขาเห็นว่าพระเยซูกับเหล่าสาวกไม่ได้อยู่ที่นั่น จึงลงเรือมายังเมืองคาเปอรนาอุมเพื่อตามหาพระเยซู

พระเยซูคืออาหารแห่งชีวิต

25เมื่อประชาชนพบพระองค์ที่อีกฟากของทะเลสาบก็ทูลถามพระองค์ว่า “รับบี ท่านมาถึงที่นี่เมื่อใด?”

26พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกท่านตามหาเราไม่ใช่เพราะเห็นหมายสำคัญ แต่เพราะได้กินขนมปังจนอิ่ม 27อย่าขวนขวายหาอาหารที่เน่าเสียได้ แต่จงหาอาหารที่คงอยู่ถึงชีวิตนิรันดร์ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน พระเจ้าพระบิดาทรงประทับตรารับรองบุตรมนุษย์แล้ว”

28แล้วพวกเขาทูลถามพระองค์ว่า “พวกเราต้องทำประการใด เพื่อจะทำงานที่พระเจ้าทรงประสงค์?”

29พระเยซูตรัสตอบว่า “งานของพระเจ้าคือ จงเชื่อในผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา”

30ดังนั้นพวกเขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “ท่านจะให้หมายสำคัญอะไรเพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อท่าน? ท่านจะทำอะไรบ้าง? 31บรรพบุรุษของเราได้กินมานาในถิ่นกันดารตามที่มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์ประทานอาหารจากสวรรค์ให้พวกเขารับประทาน’6:31 ดูอพย.16:4,15นหม.9:15สดด.78:24; 105:40

32พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ไม่ใช่โมเสสที่ให้อาหารจากสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่เป็นพระบิดาของเราที่ประทานอาหารแท้จากสวรรค์แก่ท่าน 33เพราะอาหารจากพระเจ้า คือผู้ที่ลงมาจากสวรรค์และให้ชีวิตแก่โลก”

34พวกเขาทูลว่า “ท่านเจ้าข้า จากนี้ไปโปรดให้อาหารนี้แก่เราเถิด”

35แล้วพระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่มีวันหิวโหยและผู้ที่เชื่อในเราจะไม่มีวันกระหายอีกเลย 36แต่ตามที่เราได้บอกท่านไว้แล้ว ท่านได้เห็นเราแต่ก็ยังไม่เชื่อ 37คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป 38เพราะเราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อทำตามใจของเราเองแต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 39และพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงส่งเรามาคือ ไม่ให้เราสูญเสียคนทั้งปวงที่พระองค์ประทานแก่เราไปแม้สักคนเดียว แต่จะให้คนเหล่านี้เป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 40เพราะพระบิดาของเราทรงประสงค์ให้ทุกคนที่เห็นและเชื่อในพระบุตรมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย”

41แล้วพวกยิวจึงเริ่มพากันบ่นเกี่ยวกับพระองค์ เพราะพระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์” 42พวกเขาพูดว่า “นี่คือเยซูลูกชายของโยเซฟไม่ใช่หรือ? เราก็รู้จักพ่อแม่ของเขา เขาพูดได้อย่างไรว่า ‘เราลงมาจากสวรรค์’?”

43พระเยซูตรัสตอบว่า “หยุดบ่นกันได้แล้ว 44ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาผู้ทรงส่งเรามานั้นทรงชักนำเขามาหาเรา และเราจะให้เขาเป็นขึ้นในวันสุดท้าย 45มีเขียนไว้ในหนังสือผู้เผยพระวจนะว่า ‘เขาทั้งหลายจะรับการสอนจากพระเจ้า’6:45 อสย.54:13 ทุกคนที่ฟังพระบิดาและเรียนรู้จากพระองค์ก็มาหาเรา 46ไม่มีใครได้เห็นพระบิดา เว้นแต่ผู้ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้นที่ได้เห็นพระบิดา 47เราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ที่เชื่อก็มีชีวิตนิรันดร์ 48เราเป็นอาหารแห่งชีวิต 49บรรพบุรุษของท่านได้กินมานาในถิ่นกันดาร ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตาย 50แต่นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ซึ่งคนใดได้กินแล้วจะไม่ตาย 51เราเป็นอาหารซึ่งให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดได้กินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป อาหารนี้คือเนื้อ6:51 ในภาษากรีกคำที่แปลว่าเนื้ออาจแปลว่าร่างกายก็ได้ของเราซึ่งเราจะให้เพื่อโลกนี้จะได้มีชีวิต”

52แล้วชาวยิวจึงเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างรุนแรงว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?”

53พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าหากท่านไม่กินเนื้อของบุตรมนุษย์และดื่มโลหิตของพระองค์ ท่านก็ไม่มีชีวิตอยู่ภายในตัวท่าน 54ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์และเราจะให้เขาเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย 55เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ 56ผู้ใดกินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา 57พระบิดาผู้ทรงพระชนม์อยู่ทรงส่งเรามา และเรามีชีวิตอยู่เพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเราก็จะมีชีวิตอยู่เพราะเราฉันนั้น 58นี่คืออาหารที่ลงมาจากสวรรค์ บรรพบุรุษของท่านกินมานาและตายไป แต่ผู้ที่กินอาหารนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” 59พระองค์ตรัสสิ่งเหล่านี้ขณะทรงสั่งสอนอยู่ในธรรมศาลาในเมืองคาเปอรนาอุม

สาวกหลายคนเลิกติดตามพระเยซู

60สาวกของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูด ว่า “คำสอนนี้ยากจริง ใครจะรับได้?”

61พระเยซูทรงทราบว่าเหล่าสาวกของพระองค์กำลังบ่นกันเรื่องนี้ ก็ตรัสกับพวกเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกท่านขุ่นเคืองใจหรือ? 62จะว่าอย่างไรถ้าท่านเห็นบุตรมนุษย์ขึ้นสู่สถานที่ซึ่งพระองค์เคยอยู่มาก่อน! 63พระวิญญาณประทานชีวิต เนื้อหนังไม่สำคัญอะไรเลย ถ้อยคำที่เรากล่าวกับท่านเป็นวิญญาณ6:63 หรือพระวิญญาณและเป็นชีวิต 64ถึงกระนั้นก็มีบางคนในพวกท่านที่ไม่เชื่อ” เนื่องจากพระเยซูทรงทราบตั้งแต่แรกว่าคนใดในพวกเขาที่ไม่เชื่อและใครจะทรยศพระองค์ 65พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เพราะเหตุนี้เราจึงได้บอกท่านว่า ไม่มีใครมาหาเราได้ นอกจากพระบิดาจะทรงโปรดให้เขามา”

66ตั้งแต่นั้นมาสาวกของพระองค์หลายคนก็หันกลับและเลิกติดตามพระองค์

67พระเยซูตรัสถามสาวกทั้งสิบสองคนว่า “แล้วพวกท่านจะจากไปด้วยหรือ?”

68ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า เราจะไปหาใคร? พระองค์ทรงมีถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ 69ข้าพระองค์ทั้งหลายเชื่อและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า”

70แล้วพระเยซูจึงตรัสตอบว่า “เราได้เลือกพวกท่านทั้งสิบสองคนไม่ใช่หรือ? ถึงกระนั้นคนหนึ่งในพวกท่านคือมารร้าย!” 71(พระองค์ทรงหมายถึงยูดาสผู้เป็นบุตรของซีโมนอิสคาริโอท ถึงแม้ยูดาสเป็นหนึ่งในสาวกสิบสองคน แต่ภายหลังเขาก็ทรยศพระองค์)

New Chhattisgarhi Translation (नवां नियम छत्तीसगढ़ी)

यूहन्ना 6:1-71

यीसू ह पांच हजार मनखेमन ला खाना खवाथे

(मत्ती 14:13-21; मरकुस 6:30-44; लूका 9:10-17)

1एकर बाद, यीसू ह गलील के झील के ओ पार गीस। (गलील के झील ला तिबिरियास के झील घलो कहिथें।) 2अऊ एक बड़े भीड़ ओकर पाछू हो लीस, काबरकि मनखेमन ओ अचरज के चिन्हांमन ला देखे रिहिन, जऊन ला ओह बेमरहामन ला बने करे के दुवारा देखाय रिहिस। 3तब यीसू ह पहाड़ी ऊपर गीस अऊ अपन चेलामन संग उहां बईठ गीस। 4यहूदीमन के फसह तिहार ह लकठा आवत रहय।

5जब यीसू ह आंखी उठाके देखिस, त मनखेमन के एक बड़े भीड़ ओकर कोति आवत रहय। तब ओह फिलिप्पुस ला कहिस, “ए मनखेमन ला खवाय बर हमन कहां ले रोटी बिसोबो?” 6यीसू ह ओला सिरिप परखे बर ए बात ला पुछिस, काबरकि ओह पहिली ले जानत रहय कि ओह का करइया रिहिस। 7फिलिप्पुस ह जबाब देके कहिस, “यदि दू सौ दीनार के रोटी बिसोथन, तभो ले एम ले हर एक मनखे ला मुसकुल से एक-एक कऊंरा मिलही6:7 “दीनार” – एक दीनार याने एक दिन के बनी।।”

8ओकर एक आने चेला, सिमोन पतरस के भाई अन्द्रियास ह ओला कहिस, 9“इहां एक झन छोकरा हवय, जेकर करा जवांर के पांच रोटी अऊ दू ठन मछरी हवय; पर अतेक झन बर एह कुछू नो हय?”

10यीसू ह कहिस, “मनखेमन ला बईठा देवव।” ओ जगह म अब्‍बड़ कांदी रहय। तब जम्मो मनखेमन बईठ गीन; उहां करीब पांच हजार आदमी (मरद) मन रिहिन। 11तब यीसू ह रोटी ला लीस अऊ परमेसर ला धनबाद देके उहां बईठे मनखेमन ला बांट दीस, अऊ वइसनेच ओह मछरीमन ला घलो बांट दीस। ओमन जतकी चाहिन, ओह ओमन ला ओतकी दीस। 12जब ओ जम्मो झन खाके अघा गीन, त यीसू ह अपन चेलामन ला कहिस, “बांचे-खुचे टुकड़ामन ला संकेल लेवव, ताकि कुछू ह बरबाद झन होवय।” 13तब ओमन संकेलिन अऊ बारह ठन टुकना ओ पांच ठन जवांर के रोटी के टुकड़ा ले भर गीस, जऊन ला खवइयामन उहां छोंड़ दे रिहिन। 14जब मनखेमन यीसू के ओ अचरज के चिन्‍हां ला देखिन, त कहे लगिन, “एह सही म ओ अगमजानी अय, जऊन ह संसार म अवइया रिहिस।” 15ओमन आके यीसू ला जबरदस्‍ती राजा बनाय के इरादा करत रिहिन; ए बात ला जानके, यीसू ह फेर एके झन पहाड़ ऊपर चल दीस।

यीसू ह पानी ऊपर चलथे

(मत्ती 14:22-33; मरकुस 6:45-52)

16जब सांझ होईस, त यीसू के चेलामन उतरके झील के तीर म गीन, 17अऊ उहां झील के ओ पार कफरनहूम जाय बर, एक ठन डोंगा म बईठ गीन। जब ओमन जावत रिहिन, त अंधियार हो गे रहय, अऊ यीसू ह अभी तक ले ओमन करा नइं आय रहय। 18तब एक बड़े आंधी झील के ऊपर चले लगिस, जेकर कारन पानी के बड़े-बड़े लहरा उठिस। 19जब ओमन डोंगा ला खेवत-खेवत पांच-छै किलोमीटर चल दीन, त ओमन यीसू ला अपन डोंगा कोति आवत देखिन; ओह पानी ऊपर चलत रहय, अऊ ओमन डर्रा गीन। 20पर यीसू ह ओमन ला कहिस, “एह में अंव, झन डर्रावव।” 21तब ओमन ओला डोंगा म चघाय बर चाहत रिहिन कि डोंगा ह ओ तीर म पहुंच गीस, जिहां ओमन जवइया रिहिन।

22दूसर दिन, ओ मनखेमन के भीड़, जऊन ह समुंदर के ओ पार तीर म रूके रहय, ए देखिस कि उहां सिरिप एक ठन डोंगा रिहिस, अऊ ओमन जानत रिहिन कि यीसू ह अपन चेलामन संग ओ डोंगा म नइं गे हवय, पर चेलामन यीसू के बिगर डोंगा म चल दे रिहिन। 23तब कुछू आने डोंगामन तिबिरियास ले ओ जगह के लकठा म आईन, जिहां परभू के धनबाद करे के बाद मनखेमन रोटी खाय रिहिन। 24जब भीड़ ह ए देखिस कि उहां न तो यीसू हवय अऊ न ही ओकर चेलामन, त ओमन डोंगामन म चघिन अऊ यीसू के खोज म कफरनहूम गीन।

यीसू ह जिनगी के रोटी

25जब ओ मनखेमन ला यीसू ह समुंदर के ओ पार मिलिस, त ओमन ओकर ले पुछिन, “हे गुरू! तेंह इहां कब आय?”

26यीसू ह ओमन ला कहिस, “मेंह तुमन ला सच कहथंव, तुमन मोला एकरसेति नइं खोजत हव कि तुमन अचरज के चिन्‍हां ला देखेव, पर एकरसेति कि तुमन छक के रोटी खाय रहेव। 27ओ भोजन बर मिहनत झन करव, जऊन ह नास हो जाथे, पर ओ भोजन बर मिहनत करव, जऊन ह परमेसर के संग सदाकाल के जिनगी तक ठहरथे, जऊन ला मनखे के बेटा ह तुमन ला दिही। काबरकि परमेसर ददा ह ओकर ऊपर अपन मंजूरी के मुहर लगाय हवय।”

28तब ओमन ओकर ले पुछिन, “परमेसर के काम करे बर, हमन का करन?”

29यीसू ह ए जबाब दीस, “परमेसर के काम ए अय कि जऊन ला ओह पठोय हवय, ओकर ऊपर बिसवास करव।”

30तब ओमन ओकर ले पुछिन, “तेंह हमन ला का अचरज के चिन्‍हां देखाबे कि हमन ओला देखके तोर ऊपर बिसवास करन? तेंह का काम करबे? 31हमर पुरखामन निरजन जगह म मन्ना खाय रिहिन; जइसने परमेसर के बचन म ए लिखे हवय: ‘ओह ओमन ला खाय बर स्‍वरग ले रोटी दीस6:31 “मन्ना” – एक बिसेस किसम के खाय के चीज (अनाज) परमेसर ह दीस। निरगमन 16:4; भजन-संहिता 78:24।’ ”

32यीसू ह ओमन ला कहिस, “मेंह तुमन ला सच कहथंव कि मूसा ह तुमन ला स्‍वरग ले ओ रोटी नइं देय रिहिस, पर ओह मोर ददा ए, जऊन ह तुमन ला स्‍वरग ले सच्‍चई के रोटी देथे। 33काबरकि परमेसर के रोटी ओह अय, जऊन ह स्‍वरग ले उतरथे अऊ संसार ला जिनगी देथे।”

34ओमन कहिन, “हे महाराज, ओ रोटी हमन ला हमेसा देय कर।”

35तब यीसू ह ओमन ला कहिस, “जिनगी के रोटी मेंह अंव। जऊन ह मोर करा आथे, ओह कभू भूखन नइं होवय अऊ जऊन ह मोर ऊपर बिसवास करथे, ओह कभू पीयासन नइं होवय। 36पर जइसने मेंह तुमन ला कहेंव कि तुमन मोला देख घलो ले हवव, अऊ तभो ले तुमन बिसवास नइं करथव। 37जऊन कुछू ददा ह मोला देथे, ओ जम्मो ह मोर करा आही अऊ जऊन कोनो मोर करा आथे, मेंह ओला कभू नइं निकारंव। 38काबरकि मेंह अपन ईछा ला नइं, पर अपन पठोइया के ईछा ला पूरा करे बर स्‍वरग ले उतरे हवंव। 39अऊ मोर पठोइया के ईछा ए अय कि जऊन कुछू ओह मोला देय हवय, ओम ले कोनो ला घलो मेंह झन गंवावंव, पर आखिरी दिन म ओमन ला जियावंव। 40काबरकि मोर ददा के ईछा ए अय कि जऊन कोनो बेटा ला देखय अऊ ओकर ऊपर बिसवास करय, ओह परमेसर के संग सदाकाल के जिनगी पावय, अऊ मेंह आखिरी दिन म ओला जीयाहूं।”

41तब यहूदीमन यीसू ऊपर बड़बड़ाय लगिन, काबरकि ओह ए कहे रिहिस, “मेंह ओ रोटी अंव, जऊन ह स्‍वरग ले उतरिस।” 42ओमन कहिन, “का एह यूसुफ के बेटा यीसू नो हय, जेकर दाई-ददा ला हमन जानथन? तब ओह कइसने कह सकथे कि ओह स्‍वरग ले उतरे हवय?”

43यीसू ह ओमन ला ए जबाब दीस, “आपस म बड़बड़ाय बर बंद करव। 44मोर करा कोनो नइं आ सकय, जब तक ददा जऊन ह मोला पठोय हवय, ओला मोर तरफ नइं खींचय; अऊ मेंह ओला आखिरी दिन म जीयाहूं। 45अगमजानीमन के किताब म ए लिखे हवय: ‘ओ जम्मो झन परमेसर के दुवारा सिखाय जाहीं।’6:45 यसायाह 54:13 जऊन कोनो ददा के सुनथे अऊ ओकर ले सिखथे, ओह मोर करा आथे। 46अइसने नो हय कि कोनो ददा ला देखे हवय, पर जऊन ह परमेसर के कोति ले आय हवय, सिरिप ओहीच ह ददा ला देखे हवय। 47मेंह तुमन ला सच कहथंव, जऊन ह बिसवास करथे, ओह परमेसर के संग सदाकाल के जिनगी पाथे। 48जिनगी के रोटी मेंह अंव। 49तुम्‍हर पुरखामन निरजन जगह म मन्ना खाईन, पर ओमन मर गीन। 50पर एह ओ रोटी अय, जऊन ह स्‍वरग ले उतरे हवय ताकि मनखे ह एला खावय अऊ झन मरय। 51मेंह ओ जीयत रोटी अंव, जऊन ह स्‍वरग ले उतरिस। यदि कोनो ए रोटी म ले खाही, त ओह सदाकाल तक जीयत रहिही। ओ रोटी जऊन ला मेंह संसार के जिनगी बर दूहूं, ओह मोर मांस ए।”

52एला सुनके यहूदीमन आपस म ए कहिके बहस करे लगिन, “ए मनखे ह हमन ला अपन मांस खाय बर कइसने दे सकथे?”

53यीसू ह ओमन ला कहिस, “मेंह तुमन ला सच कहथंव, जब तक तुमन मनखे के बेटा के मांस ला नइं खावव अऊ ओकर लहू ला नइं पीयव, तब तक तुमन म जिनगी नइं ए। 54जऊन कोनो मोर मांस खाथे अऊ मोर लहू पीथे ओकर करा परमेसर के संग सदाकाल के जिनगी हवय, अऊ मेंह ओला आखिरी दिन म जीयाहूं। 55काबरकि मोर मांस ह सही भोजन अय अऊ मोर लहू ह सही म पीये के चीज अय। 56जऊन कोनो मोर मांस खाथे अऊ मोर लहू पीथे, ओह मोर म बने रहिथे, अऊ मेंह ओम बने रहिथंव। 57जइसने जीयत ददा ह मोला पठोईस अऊ ददा के कारन मेंह जीयत हवंव, ओहीच किसम ले जऊन ह मोला खाही, ओह मोर कारन जीयत रहिही। 58एह ओ रोटी ए, जऊन ह स्‍वरग ले उतरिस। हमर पुरखामन मन्ना खाईन अऊ मर गीन, पर जऊन ह ए रोटी ला खाही, ओह सदाकाल तक जीयत रहिही।” 59यीसू ह ए बातमन ला कफरनहूम के एक सभा घर म उपदेस देवत कहिस।

कतको चेलामन यीसू ला छोंड़ देथें

60एला सुनके, यीसू के कतको चेलामन कहिन, “ए उपदेस ला गरहन करई कठिन ए।” 61यीसू ह अपन मन म जान डारिस कि ओकर चेलामन कुड़कुड़ावत हवंय; एकरसेति ओह ओमन ला कहिस, “का ए बात ले तुमन ला ठेस लगथे? 62तब तुम्‍हर का होही, यदि तुमन मनखे के बेटा ला जिहां ओह पहिली रिहिस, उहां ऊपर जावत देखहू त? 63पबितर आतमा ह जिनगी देथे; मांस ले कोनो फायदा नइं होवय। जऊन बात मेंह तुमन ला कहे हवंव, ओमन आतमा अऊ जिनगी अंय। 64पर तुमन म कुछू मनखे हवंय, जऊन मन ए बातमन ला बिसवास नइं करंय।” काबरकि यीसू ह सुरू ले जानत रिहिस कि ओम ले कोन बिसवास नइं करंय अऊ कोन ह ओला धोखा दिही। 65यीसू ह ए घलो कहिस, “एकरे कारन मेंह तुमन ला कहेंव कि जब तक ददा कोति ले बरदान नइं मिलय, तब तक कोनो मोर करा नइं आ सकय।”

66एकर बाद, यीसू के कतको चेलामन ओला छोंड़के वापिस चल दीन अऊ ओकर पाछू नइं गीन।

67तब यीसू ह बारह चेलामन ले पुछिस, “का तुमन घलो मोला छोंड़के जाय चाहत हव?”

68सिमोन पतरस ह जबाब देके कहिस, “हे परभू, हमन काकर करा जाबो? परमेसर के संग सदाकाल के जिनगी के बात तो तोर करा हवय। 69हमन बिसवास करथन अऊ जानत हवन कि तेंह परमेसर के पबितर बेटा अस।”

70तब यीसू ह ओमन ला कहिस, “का मेंह तुमन बारहों झन ला नइं चुने हवंव? तभो ले तुमन ले एक झन सैतान ए?” 71(यीसू ह ए बात सिमोन इस्करियोती के बेटा यहूदा के बारे म कहिस, काबरकि ओ बारहों म ले ओ मनखे रहय, जऊन ह बाद म यीसू ला धोखा देवइया रिहिस।)