Kwadwom 1 – ASCB & TNCV

Asante Twi Contemporary Bible

Kwadwom 1:1-22

1Ao, sɛdeɛ kuropɔn no adane amamfo nie,

kuropɔn a anka nnipa ahyɛ no ma?

Ɛdeɛn enti na wayɛ okunafoɔ baa a

kane no na anka woyɛ kɛseɛ wɔ amanaman no mu?

Deɛ na ɔyɛ ɔhemmaa wɔ amantam no mu no

abɛyɛ afenaa ɛnnɛ.

2Ɔsu yaayaaya anadwo,

nisuo sensane nʼafono so.

Nʼadɔfoɔ nyinaa mu no,

ɔbiara nni hɔ a ɔkyekyere ne werɛ.

Nʼayɔnkofoɔ nyinaa adi no hwammɔ

Wɔayɛ nʼatamfoɔ.

3Amanehunu ne adwumaden akyi no,

Yuda kɔ nnommumfa mu.

Ɔte amanaman no mu

na ɔnni ahomegyebea

Wɔn a wɔtaa no nyinaa ati no

wɔ nʼahokyere mu.

4Akwan a ɛkɔ Sion no di awerɛhoɔ,

ɛfiri sɛ obiara nkɔ nʼafahyɛ ase.

Nʼapono nyinaa adeda mpan,

na nʼasɔfoɔ si apinie,

ne mmabaawa di yea,

na ɔwɔ yeadie a emu yɛ den.

5Nʼatamfoɔ abɛyɛ ne wuranom;

wɔn a wɔ ne no ayɛ dom ho adwo wɔn.

Awurade ama awerɛhoɔ aba ne so

nʼamumuyɛ bebrebe enti.

Ne mma kɔ nnommumfa mu.

Wɔayɛ nneduafoɔ ama ɔtamfoɔ.

6Animuonyam nyinaa atu

afiri Ɔbabaa Sion so kɔ.

Ne mmapɔmma ayɛ sɛ aforoteɛ

a wɔnnya adidibea;

na wɔde mmerɛyɛ adwane

wɔ wɔn ataafoɔ anim.

7Nʼamanehunu ne ananteananteɛ nna mu no,

Yerusalem kae ademudeɛ nyinaa

a na ɛwɔ no wɔ nna a atwam no mu.

Ne nkurɔfoɔ kɔtɔɔ ɔtamfoɔ no nsa mu no,

na obiara nni hɔ a ɔbɛboa no.

Nʼatamfoɔ de wɔn ani hwɛɛ no

na wɔseree ne sɛeɛ.

8Yerusalem ayɛ bɔne kɛseɛ

enti ne ho agu fi.

Wɔn a wɔdi no ni no sopa no,

ɛfiri sɛ wɔahunu nʼadagya;

ɔno ankasa gu ahome

na ɔdane nʼani.

9Nʼafideyɛ atu aka ne ntadeɛ mu;

wannwene ne daakye ho.

Nʼasehweɛ yɛ nwanwa;

obiara ankyekyere ne werɛ.

“Ao Awurade hwɛ mʼamanehunu,

ɛfiri sɛ ɔtamfoɔ adi nkonim.”

10Ɔtamfoɔ no de ne nsa too

nʼademudeɛ nyinaa so;

ɔhunuu sɛ amanaman

rehyɛne ne kronkronbea hɔ,

nnipa a woabra sɛ

wɔnnhyɛne wʼasafo mu no.

11Ne nkurɔfoɔ nyinaa si apinie

ɛberɛ a wɔrepɛ aduane;

wɔde wɔn ademudeɛ sesa aduane

de nya ahoɔden.

“Ao, Awurade, hwɛ na dwene me ho,

ɛfiri sɛ wɔbu me animtia.”

12“Ɛmfa mo ho anaa, mo a motwam hɔ nyinaa?

Monhwɛ na monhunu.

Ɛyea bi wɔ hɔ a ɛte sɛ me deɛ

a wɔma ɛbaa me soɔ yi anaa?

Deɛ Awurade de baa me so

wɔ nʼabufuhyeɛ da no.

13“Ɔsomaa ogya firi ɔsoro,

ma ɛbaa me nnompe mu.

Ɔsum afidie maa me nan

na ɔsane me kɔɔ mʼakyi.

Ɔyɛɛ me pasaa,

metɔɔ bira da mu nyinaa.

14“Woakyekyere me bɔne sɛ adesoa;

ɔde ne nsa nwene bɔɔ mu.

Abɛda me kɔn mu

na Awurade atwe mʼahoɔden.

Ɔde me ahyɛ wɔn a

merentumi nnyina wɔn anim no nsa.

15“Awurade apo

ahoɔdenfoɔ a wɔwɔ me ntam nyinaa;

wafrɛ akodɔm atia me

sɛ wɔmmɛdwɛre me mmeranteɛ.

Awurade atiatia Ɔbabaa Yuda Bunu so

wɔ ne nsakyiamena hɔ.

16“Yeinom enti na mesu

na nisuo adware me.

Obiara mmɛn a ɔbɛkyekye me werɛ.

Deɛ ɔbɛhyɛ me honhom den nni hɔ.

Me mma agyigya

ɛfiri sɛ ɔtamfoɔ no adi nkonim.”

17Sion trɛ ne nsa mu

nanso obiara nni hɔ a ɔbɛkyekye ne werɛ

Awurade ahyɛ ama Yakob sɛ

ne mfɛfoɔ bɛyɛ nʼatamfoɔ;

Yerusalem abɛyɛ

afideɛ wɔ wɔn mu.

18Awurade yɛ ɔteneneeni,

nanso manni nʼahyɛdeɛ so.

Montie, mo amanaman nyinaa

monhwɛ me yea.

Me mmeranteɛ ne mmabaawa

kɔ nnommumfa mu.

19“Mefrɛɛ mʼapamfoɔ

nanso wɔyii me maeɛ.

Mʼasɔfoɔ ne me mpanimfoɔ

ase tɔreɛ wɔ kuropɔn no mu,

ɛberɛ a wɔrepɛ aduane adi

na wɔanwuwu.

20“Ao Awurade, hwɛ me mmɔborɔ!

Meredi ɛyea wɔ me mu,

na mʼakoma mu nso menni ahotɔ,

ɛfiri sɛ mayɛ otuatefoɔ kɛseɛ.

Akofena hyɛ me awerɛhoɔ wɔ abɔntene so;

efie nso yɛ owuo nko ara.

21“Nnipa ate mʼapinisie,

nanso obiara nni hɔ a ɔbɛkyekye me werɛ.

Mʼatamfoɔ nyinaa ate mʼamanehunu

wɔn ani gye deɛ woayɛ no ho.

Ma nna a woahyɛ no mmra

sɛdeɛ wɔbɛyɛ sɛ me.

22“Fa wɔn atirimuɔdensɛm nyinaa si wʼanim;

na wo ne wɔn nni

sɛdeɛ wo ne me adie

ɛsiane mʼamumuyɛ no enti.

Mʼapinisie dɔɔso

na mʼakoma aboto.”

Thai New Contemporary Bible

เพลงคร่ำครวญ 1:1-22

1 ในภาษาฮีบรู บทนี้เป็นบทกวีที่แต่ละข้อขึ้นต้นด้วยตัวอักษรฮีบรูเรียงตามลำดับ 1โอ กรุงที่เคยมีพลเมืองหนาแน่น

กลับอ้างว้างเสียแล้ว!

กรุงที่เคยยิ่งใหญ่ในหมู่ประชาชาติ

กลับเป็นเหมือนหญิงม่ายเสียแล้ว!

กรุงซึ่งเคยเป็นราชินีในหมู่แว่นแคว้นต่างๆ

กลับตกเป็นทาสเสียแล้ว

2ยามค่ำคืนเธอร่ำไห้อย่างขมขื่น

น้ำตาไหลอาบแก้ม

ในบรรดาคนรักของเธอ

ไม่มีสักคนที่ปลอบโยนเธอ

สหายทั้งปวงก็ทรยศเธอ

พวกเขากลับกลายเป็นศัตรูของเธอ

3หลังจากทุกข์ลำเค็ญและกรำงานหนัก

ยูดาห์ก็ตกเป็นเชลย

เธอไปอยู่ท่ามกลางประชาชาติต่างๆ

ไม่พบที่พักพิง

บรรดาผู้ตามล่าเธอก็ไล่ทันเธอ

ในยามที่เธอทุกข์เข็ญ

4ถนนหนทางสู่ศิโยนคร่ำครวญหวนไห้

เพราะไม่มีใครมางานเทศกาลตามกำหนด

ประตูเมืองทั้งหมดก็เริศร้าง

บรรดาปุโรหิตของเธอทอดถอนใจ

บรรดาหญิงสาวของเธอก็โศกเศร้า

ตัวเธอเองก็ทุกข์ทรมานขมขื่น

5ศัตรูของเธอกลับกลายเป็นนาย

อริทั้งหลายของเธอเบิกบานสำราญใจ

เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำความทุกข์ระทมมาให้เธอ

เพราะบาปมากมายของเธอ

ลูกเล็กเด็กแดงของเธอ

ตกไปเป็นเชลยต่อหน้าศัตรู

6ความโอ่อ่าตระการทั้งปวง

พรากไปจากธิดาแห่งศิโยน1:6 คือ ชาวเยรูซาเล็ม เช่นเดียวกับที่อื่นๆ ในพระธรรมเล่มนี้เสียแล้ว

เจ้านายของเธอเป็นเหมือนกวาง

ที่หาทุ่งหญ้าไม่ได้

ต้องหนีไปต่อหน้านักล่า

อย่างอ่อนแรง

7ในยามทุกข์ลำเค็ญและต้องระหกระเหิน

เยรูซาเล็มก็หวนระลึกถึงสิ่งเลอเลิศ

ที่เธอเคยมีในวันเก่าก่อน

เมื่อพลเมืองของเธอตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู

ไม่มีใครช่วยเหลือเธอ

เหล่าศัตรูมองดูเธอ

และหัวเราะเยาะความย่อยยับของเธอ

8เยรูซาเล็มได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง

ดังนั้นเธอจึงแปดเปื้อนมลทิน

บรรดาคนที่เคยยกย่องเธอก็เหยียดหยามเธอ

เพราะเห็นความเปลือยเปล่าของเธอ

เธอเองสะอื้นไห้

และหันหน้าหนี

9ความโสโครกฝังแน่นในอาภรณ์ของเธอ

เธอไม่ใส่ใจอนาคตของเธอ

ความล่มจมของเธอน่าใจหาย

ไม่มีใครปลอบโยนเธอ

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรความทุกข์ลำเค็ญของข้าพระองค์

เพราะศัตรูชนะเสียแล้ว”

10ศัตรูฉวยสิ่งล้ำค่า

ของเธอไปหมด

เธอเห็นคนต่างชาติบุกเข้ามา

ในสถานนมัสการของเธอ

ล้วนแต่เป็นชนชาติต่างๆ ซึ่งพระองค์สั่งห้าม

ไม่ให้เข้ามาท่ามกลางชุมนุมประชากรของพระองค์

11พลเมืองของเธอสะอื้นไห้

ขณะเสาะหาอาหาร

เอาของมีค่าออกมาแลกอาหาร

เพื่อประทังชีวิต

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรและทรงใคร่ครวญดูเถิด

เพราะข้าพระองค์ถูกเหยียดหยาม”

12“พวกท่านที่ผ่านไปผ่านมา ไม่รู้สึกรู้สาอะไรบ้างเลยหรือ?

จงมองไปรอบๆ เถิด

มีความทุกข์ใดบ้างเหมือนทุกข์

ที่เกิดแก่ข้าพเจ้า

ทุกข์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลแก่ข้าพเจ้าในวันแห่งพระพิโรธอันรุนแรง?

13“พระองค์ทรงส่งไฟลงมาจากเบื้องบน

ไฟนั้นแผดเผาอยู่ในกระดูกของข้าพเจ้า

พระองค์ทรงวางตาข่ายดักเท้าของข้าพเจ้า

และทำให้ข้าพเจ้าหันกลับ

พระองค์ทรงทิ้งข้าพเจ้าไว้

ให้ระบมไข้และอ่อนระโหยโรยแรงวันยังค่ำ

14“พระองค์ทรงถักบาปของข้าพเจ้า

เป็นเชือกมัดข้าพเจ้าเข้ากับแอกของการเป็นเชลย1:14 ฉบับ LXX. ว่าพระองค์ทรงเฝ้าดูอยู่เหนือบาปของข้าพเจ้า / ทรงถักบาปเหล่านั้นเข้าด้วยกัน

บาปเหล่านั้นอยู่ที่คอของข้าพเจ้า

และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำให้กำลังวังชาของข้าพเจ้าเหือดหาย

พระองค์ทรงมอบข้าพเจ้าไว้ในมือของคนเหล่านั้น

ซึ่งข้าพเจ้าไม่อาจต่อกรได้

15“องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งนักรบทั้งปวง

ที่อยู่ท่ามกลางข้าพเจ้า

พระองค์ทรงระดมพลมาต่อสู้ข้าพเจ้า

เพื่อ1:15 หรือพระองค์ทรงกำหนดเวลาสำหรับข้าพเจ้า / เมื่อพระองค์จะบดขยี้พวกคนหนุ่มของข้าพเจ้า

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเหยียบย่ำธิดาพรหมจารีแห่งยูดาห์1:15 คือ ชาวเยรูซาเล็ม

ดั่งองุ่นในบ่อย่ำองุ่น

16“ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงร่ำไห้

น้ำตาหลั่งริน

ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ คอยปลอบโยน

ไม่มีใครช่วยกู้ดวงวิญญาณของข้าพเจ้า

ลูกๆ ของข้าพเจ้าสิ้นเนื้อประดาตัว

เพราะศัตรูชนะเขา”

17ศิโยนยื่นมือออก

แต่ไม่มีใครปลอบโยนเธอ

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชายาโคบไว้แล้วว่า

ให้เพื่อนบ้านของเขากลายเป็นศัตรู

เยรูซาเล็มกลายเป็น

ของโสโครกในหมู่พวกเขา

18องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบธรรม

กระนั้นข้าพเจ้าก็กบฏต่อพระบัญชาของพระองค์

ฟังเถิด ประชาชาติทั้งปวง

จงมองดูความทุกข์ลำเค็ญของข้าพเจ้า

คนหนุ่มสาวของข้าพเจ้า

ตกไปเป็นเชลย

19“ข้าพเจ้าร้องเรียกบรรดาพันธมิตรของข้าพเจ้า

แต่พวกเขาก็ทรยศหักหลังข้าพเจ้า

บรรดาปุโรหิตและผู้อาวุโสทั้งหลายของข้าพเจ้า

พินาศย่อยยับในกรุง

ขณะพวกเขาค้นหาอาหาร

เพื่อประทังชีวิต

20“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทอดพระเนตรเถิด

ว่าข้าพระองค์ทุกข์ยากมากเพียงไร!

จิตใจร้อนรุ่ม ดวงใจสับสนวุ่นวายอยู่ภายใน

เพราะข้าพระองค์ได้กบฏอย่างที่สุด

นอกบ้านมีแต่คมดาบคร่าชีวิตลูกหลาน

ในบ้านมีแต่ความตาย

21“ผู้คนได้ยินเสียงครวญครางของข้าพระองค์

แต่ไม่มีใครปลอบโยนข้าพระองค์

ศัตรูทั้งปวงได้ยินถึงความทุกข์ยากลำเค็ญของข้าพระองค์

ก็กระหยิ่มลิงโลดในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำ

ขอทรงนำวันนั้นที่ทรงประกาศไว้มาถึง

เพื่อพวกเขาจะได้เป็นเหมือนข้าพระองค์

22“ขอให้ความชั่วร้ายของพวกเขามาอยู่ต่อหน้าพระองค์

ขอทรงจัดการกับพวกเขา

อย่างที่พระองค์ได้ทรงจัดการกับข้าพระองค์

เพราะบาปทั้งสิ้นของข้าพระองค์

เสียงครวญครางของข้าพระองค์มากมายนัก

และดวงใจของข้าพระองค์อ่อนระโหยไป”